แนวคิดใหม่วันปีใหม่
โสภณ เปียสนิท
............................................
ไม่น่าเชื่อว่าถึงวันนี้ผมจะมีอายุยืนถึงสี่สิบเอ็ดปี ผมอยากจะดีใจที่สู้ทนผ่านวันเวลามาได้แม้บางครั้งจะล้มลุกคลุกคลาน แต่ในอีกมุมหนึ่งกลางความสลัวเลือนผมเหลือบตาเห็นบางสิ่งบางอย่างจ้องมาที่ผมอย่างมีจุดประสงค์ที่แอบแฝง ผมเริ่มหวาดกลัวเจ้าตัวร้ายที่ย่องกริบเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ ในบางช่วงของเวลาที่ว่าง ผมมีโอกาสได้ประจัญหน้าโดยบังเอิญในมุมเงียบ ๆ แต่พริบตาเดียวมันหลบแวบเข้ามุมมืดหายไป แสดงให้เห็นว่ามันไม่ต้องการประหัตประหารผมให้ตกตายในครั้งเดียว แต่จ้องแอบทำลายผมอย่างช้า ๆ โดยแกล้งทำรอยตีนกาไว้บนหางตาและหน้าผาก ถอนผมบนศรีษะผมออกที่ละน้อย ที่เหลือก็แกล้งเอาสีขาวมาแต้มเล่นเป็นที่สนุกสนาน เอาไขมันที่ผมไม่ต้องการมาไว้ที่พุ่งกะทิผมกองเบ้อเร่อ ตัดรอนเรี่ยวแรงของผมจนเหลือแค่หนึ่งในสาม นี่ว่ากันอย่างย่อ ๆ นะ อันที่จริงแล้วมันแกล้งผมยิ่งกว่านี้ สักวันพบหน้ากันจะ ๆ จะขอถามให้ได้ความว่าเป็นใคร และทำอย่างนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่
คุณผู้อ่านครับ วันนี้เมื่อสามปีที่แล้ว ผมเริ่มเขียนบทความนานาทัศนะขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นข้อเขียนแนวอัตประวัติแทรกธรรม ที่เขียนมาทั้งหมดมีจำนวนเท่ากับสิบสองเดือนคูณด้วยสองครั้งคูณด้วยสามปี ซึ่งจะได้เท่ากับเจ็ดสิบสองครั้ง ข้อเขียนแต่ละครั้งมีความยาวสองหน้ากระดาษพิมพ์ ราวเจ็บสิบสี่บรรทัด บรรทัดละประมาณเก้าสิบตัวอักษร หากจะนับกันตามตัวอักษรแล้วละก็ ถือได้ว่าข้อเขียนของผมมีจำนวนมากจนนับไม่ไหวทีเดียว
ขออย่าได้คิดเอาว่าผมช่างขยันนับได้กระทั่งตัวอักษรนะครับ และกรุณาอย่าคิดว่าผมคาดคะเนเอาตามหลักตักกะ (logic) ผมอาศัยดูจำนวนเหล่านี้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ผมพยายามศึกษาอยู่บ้างเพื่อก้าวตามโลกสมัยใหม่ที่กำลังหมุนไปอย่างเร็ว จนแม้ว่าผมจะออกแรงตามจนเหนื่อยก็ยังทำได้แค่ต้วมเตี้ยมอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
โดยปกติแล้วการดำเนินชีวิตอยู่ในแต่ละวันเป็นเรื่องยาก ขึ้นปีใหม่แต่ละครั้ง ทั่วโลกจึงมีการเฉลิมฉลองแสดงความยินดีที่ชีวิตได้ผ่านพ้นวันเวลามานานครบรอบหนึ่งปี เนื่องจากชีวิตเป็นดุจภาชนะดินเผามีสภาวะเปราะบางแตกง่าย แค่หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็แตกดับ ดังนั้นครบวาระหนึ่งปีจึงควรแสดงความยินดี แต่มีเรื่องน่าเศร้าอยู่ตรงที่ว่าในแต่ละปีมีผู้คนมากมายต้องสิ้นชีวิตลงเพราะการแสดงความยินดีในวันปีใหม่
การฉลองปีใหม่จึงควรวางอยู่บนพื้นฐานของความไม่ประมาท ในฐานะที่เป็นชาวพุทธผมขอนำทัศนะที่สอดคล้องกับวิถีพุทธธรรมมาคุยกัน ปัจจุบันคนมักแสดงความยินดีแบบผสมผสานระหว่างบุญและบาป คือ “เย็นกินเหล้าเช้าทำบุญ” คนอีกจำนานไม่น้อยชอบที่จะรวมกลุ่ม “กิน เล่น เต้นรำ น้ำเมา” แต่มีคนจำนวนน้อยยินดีที่จะหามุมสงบบำเพ็ญบุญกุศลด้วยการทำทานรักษาศีลและเจริญภาวนา การเจริญภาวนานี่แหละครับที่เป็นความคิดใหม่ที่ไม่ค่อยจะมีชาวพุทธคนไหนปฏิบัติ และหากผู้ใดหันมาศึกษาและทดลองดำเนินตามได้ ถือได้ว่าผู้นั้นมีแนวคิดใหม่ คุ้มค่ากับการที่มีชีวิตอยู่มาอีกปี
คนเราเกิดมาแล้วมีหน้าที่หลักอยู่สองอย่าง หนึ่งคือดูแลร่างกายของตัวเองให้อยู่ในสภาพที่พร้อมควรแก่การงานหาเลี้ยงชีพ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ต้องรู้ว่าร่างกายต้องการสิ่งใดและสนองตามนั้น เช่น ร่างกายต้องการพักผ่อน ก็พักผ่อนเสีย ต้องการอาหารที่พอเหมาะและจำเป็นต้องนำไปใช้ ก็รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการและในปริมาณที่พอควร ไม่รับประทานหรือดื่มสิ่งอื่นใดที่ร่างกายไม่ต้องการ หรือหากทนต่อความเย้ายวนไม่ไหวก็ขอแค่พอประมาณ เช่นของมึนเมา ของที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายอื่น ๆ ร่างกายต้องการออกกำลังกาย ก็ออกกำลังกายให้พอเหมาะกับเพศและวัย ก็ง่าย ๆ แต่....
สองคือดูแลจิตใจให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักธรรมและหลักนิติธรรม วันก่อนผมชมรายการโทรทัศน์ คุณหมอเฉก ธนะศิริ หนึ่งในผู้ก่อตั้งชมรม อยู่ร้อยปีชีวีมีสุข ได้รับเชิญมาออกรายการหนึ่ง ท่านกล่าวถึงวิธีการดูแลทั้งกายและจิตได้ในขณะเดียวกันว่า ในขณะที่ท่านออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำท่านฝึกทำใจให้หยุดนิ่งไปด้วย เรียกว่าฝึกครั้งเดียวได้ผลทั้งกายและจิต นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเอาเป็นตัวอย่าง นักกีฬาทุกชนิดผมว่าเพิ่มการฝึกสมาธิผสมผสานเข้าไปด้วยก็จะดีอย่างยิ่ง
มีคำคมอยู่ว่า “ปลาตายเท่านั้นหรอกที่ลอยตามน้ำ ปลาเป็นมักว่ายทวนน้ำ” คนควรเป็นอย่างปลาคือก้าวไปข้างหน้าอย่าท้อถอย มีความคิดที่สวนกระแสสังคมและความต้องการส่วนตนในบางกรณี เช่นคนสวนมากมักชอบโทษผู้อื่น เราก็ลองหันมาจับมาผิดตนเองดูบ้าง คนมักชอบศึกษาเรื่องที่ไกลตัว แต่มักไม่มีเวลาสำหรับติดตามดูความรู้สึกนึกคิดของตัวเองว่ามีความสับสนวุ่นวายสักขนาดไหน ก็ทำดูบ้าง ชอบทำงานแบบไปเรื่อย ๆ ก็ทดลองตั้งเป้าหมายมุ่งมั่นพัฒนาประเมินผลงานของตนอย่างเข้มงวด ลดส่วนด้อยเสริมส่วนเด่นอยู่เสมอดูบ้าง คนอื่นมุ่งมั่นศึกษาเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ เราเสริมความรู้ทางธรรมเพิ่มเข้ามาอีกด้านก็น่าจะดี
คนมักมีความคิดคับแคบ เช่นนักเรียนนักศึกษาอ้างโรงเรียนหรือสถาบันเพื่อเป็นข้ออ้างในการยกพวกตีกัน ครูอาจารย์อ้างสถาบันการศึกษาที่จบมาเพื่อข่มสถาบันอื่น อ้างความเก่าแก่ อ้างความเป็นของรัฐ ของสถาบันว่ามีมาตรฐานเหนือกว่าแห่งอื่น พระสงฆ์อ้างนิกายและความเคร่งครัดว่ามีความน่าศรัทธากว่านิกายอื่น ฯ เราขยายกรอบความคิดให้กว้างออกไป เช่นนักเรียนนักศึกษาไม่ว่าสถาบันไหนก็เป็นคนที่รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนเรา ครูอาจารย์ไม่ว่าจบจากไหน อยู่ในสถาบันไหน เก่าหรือใหม่เพียงใดย่อมมีคุณภาพได้หากขยันศึกษาหาความรู้ พระสงฆ์หากมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมก็น่าศรัทธาได้ไม่ว่าจะอยู่นิกายไหน เป็นการขยายกรอบความคิดเพื่อความสุขของตน
แนวคิดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาก็น่าจะนำมาคุยกัน ผมทราบมาว่าหลายส่วนมีความหวาดวิตกอยู่ว่าจะกลายเป็นการปฏิลูบ (แปรความได้ว่า ลูบย้อนทวนเส้นขน) เนื่องจากว่าผู้ที่ดำเนินการส่วนใหญ่มีความเป็นเลิศทางวิชาการด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป ในความเห็นของคนธรรมดาเช่นผม เห็นว่าผู้ดำเนินการเรื่องนี้ควรเป็นผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งทั้งด้านโลกและธรรม เพราะการศึกษาเป็นเรื่องของชีวิต การศึกษาเช่นใดที่ทำให้นักเรียนไร้ความยับยั้งชั่งใจในการยกพวกตีกัน การศึกษาใดที่สอนให้นักเรียนเป็นนักเสพมากกว่านักผลิต การศึกษาที่สอนให้นักเรียนมีความคิดอยู่ในกรอบของการเป็นลูกจ้างเพียงอย่างเดียว การศึกษาที่สอนให้นักเรียนออกไปเป็น “เจ้าคนนายคน” ตามแบบวิถีแห่งบรรพกาล การศึกษาที่เน้นคุณภาพ (คำนี้กำลังได้รับความนิยมสูงสุด) แต่ไร้คุณธรรม ถึงยุคแห่งการปฏิรูปเช่นในปัจจุบันนี้ผมคาดว่าจะมีโอกาสได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
แนวคิดเรื่องการพัฒนาตนเองเป็นอีกอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญ แต่คำว่าการพัฒนาในความหมายของผมต้องหมายรวมคุณธรรมประกอบเข้าไปด้วย มิฉะนั้นผมไม่จัดว่าเป็นการพัฒนา บางคนอาจคิดว่า การมีบ้านหลังใหญ่ มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย มียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โต เป็นที่เคารพนับถือของชาวประชาคือการพัฒนา แต่ผมว่าใช่เพียงครึ่งเดียว ทรัพย์สินมากมายแต่จิตใจไร้ความเอื้ออาทร ทำให้ดูว่าแห้งเหี่ยวไร้ค่า เหมือนคำกล่าวที่ว่า “จิตเหมือนปลา เมตตาเหมือนน้ำ จิตขาดเมตตาเหมือนปลาขาดน้ำ” มียศมีศักดิ์ก็ต้องตอบให้ได้ว่ามีประโยชน์ใดแก่สังคม เป็นที่เคารพนับถือ ก็ต้องตรวจสอบว่าเขานับถือเงินหรือเจ้าของเงิน ถ้าเขานับถือเงิน แล้วเจ้าของเงินจะภาคภูมิใจหาพระแสงด้ามยาวอันใด เพราะเงินทองใช่จะอยู่กับเรานานเสียเมื่อไร
ทัศนะแห่งการดำรงชีวิต เรื่องสุขเรื่องทุกข์ก็น่าคุย มีนักคิดคนหนึ่งกล่าวไว้คมคายน่าฟังว่า “อันที่จริงความเย็นไม่มี แต่ที่เรารู้สึกเย็นเพราะความร้อนลดลงเท่านั้น ในเชิงศาสนาแล้วก็เปรียบได้ว่า อันที่จริงแล้วความสุขไม่มี แต่ที่รู้สึกสุขเพราะความทุกข์ลดลงแค่นั้นเอง” ข้อนี้ควรคิดไว้ก่อน เมื่อถึงคราวประสบเข้าทุกข์จะได้ไม่ทุกข์มากนัก เพราะการกำหนดรู้ทุกข์เป็นประโยชน์หรือปัญญาชั้นสูงตามหลักการพุทธศาสนา นี่ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่เก่าแก่ แต่แปลกใหม่หากท่านยังไม่เคยคิดมาก่อน
(บันทึกปี2546)
(บันทึกปี2546)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น