บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

sopon's lifeandwork: ชีวิตของยอด

sopon's lifeandwork: ชีวิตของยอด: "ชีวิตของยอด โสภณ เปียสนิท ....................................... พ่อต้องการให้ผมเก่งตั้งแต่เล็ก ชีวิตประสบความสำเร็จจึง..."

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชีวิตของยอด

ชีวิตของยอด
โสภณ  เปียสนิท
.......................................


                พ่อต้องการให้ผมเก่งตั้งแต่เล็ก ชีวิตประสบความสำเร็จจึงตั้งชื่อผมว่า ยอด มาจากคำเต็มว่ายอดเยี่ยมไม่เป็นรองใคร เรียกว่าตั้งชื่อเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยไว้ก่อน แต่ถ้าหากว่า ความยอดเยี่ยมของชีวิตมาจากการตั้งชื่อ ผมคงมีชีวิตที่ดีและสงบสุขมากกว่านี้

                แต่จะว่าไปแล้ว แค่จบปริญญาตรีสาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล ได้ด้วยเกรดที่พอผ่านเกณฑ์ได้อย่างเต็มกลืนก็ถือว่าดีพอสำหรับผมแล้ว มองย้อนกลับหลังไปหกปีกว่าๆ ที่เล่าเรียนอยู่ ณ สถานศึกษาแห่งนี้ มีทั้งสุขและทุกข์ให้จดจำ

                เมื่อปีพุทธศักราช 2540 แม่พาผมสมัครเข้าเรียนสาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ ระดับ ปวส. (ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง) ใช้เวลาเรียนแค่สองปีก็จบ แม่หวังว่าผมจะจบการศึกษาอย่างรวดเร็ว และนำวิชาความรู้ไปใช้หาเลี้ยงตัวเองได้ โดยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว แต่น่าเสียดาย เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่แม่หวัง

                เป็นเพราะนิสัยขี้เหงาของผมเอง ผมเป็นคนรักเพื่อน ชอบบริการเพื่อน ไม่ว่าเพื่อนหญิงเพื่อนชาย แต่เพื่อนหญิงผมจะบริการเป็นพิเศษหน่อย อย่าว่าผมเลยครับ ก็เพื่อนหญิงแก้เหงาได้มากกว่าเพื่อนชาย ความรู้สึกนี้ได้มาจากการสังเกตความรู้สึกส่วนลึกของผมเอง

                จำไม่ได้ว่าความขี้เหงาของผมเกิดมาตั้งแต่เมื่อใด จำได้แต่ว่า พ่อกับแม่แยกหย่าร้างกันเมื่อผมอายุเพียง 8 ขวบ แม่แต่งงานใหม่กับช่างก่อสร้างที่มาติดพันอยู่ปีกว่า ส่วนพ่อหายหน้าไปสองปีกว่า ผมรู้มาว่าท่านแต่งงานกับสาวใหญ่สูงอายุ ซึ่งผมได้มีโอกาสได้พบบ้างปีละครั้งสองครั้ง

                แม้ว่าพ่อจะส่งเงินมาช่วยค่าเล่าเรียนของผมตลอดมา ผมจะได้พบพ่อปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น ดูเหมือนว่าผมจะไม่ค่อยได้คิดถึงพ่อมากนัก คงเหมือนกับพ่อที่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะยินดีพบผมบ่อยนัก ส่วนแม่เลี้ยงนั้นผมยิ่งไม่ต้องการพบหน้า สังเกตว่าท่านเองก็ไม่ต้องการให้ผมไปพบพ่อบ่อยครั้งนัก

                แม้ว่าผมจะอยู่บ้านเดียวกับแม่ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้คุยกันบ่อยนัก เพราะแม่ไม่ว่าง มีธุระไม่ว่าจะงานค้าขายของเล็กๆ น้อยๆ ทั้งวัน งานเลี้ยงน้องอีกสองคน ซึ่งผมไม่ค่อยจะมีส่วนร่วมเท่าไร พ่อเลี้ยงยิ่งหนัก คือแทบไม่ต้องมองหน้ากัน ต่างคนต่างอยู่ ไม่ส่วนใดที่ต้องสัมพันธ์กันเลย หรือถึงมีส่วนที่ต้องสัมพันธ์กันผมก็จำไม่ค่อยได้

                เพื่อนจึงเป็นเหมือนชีวิตของผม การทำให้เพื่อนพอใจ รักผมเห็นความสำคัญของผม เป็นความหวังลำดับต้นๆ ในชีวิตอันเปลี่ยวเหงาของผม ยามไม่มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ ผมไปนั่งริมเขื่อนมองทะเลอันเวิ้งว้างปล่อยความคิดให้ลอยล่องไปไกลสุดขอบฟ้า ฝันเอาว่าที่นั่นคงมีเพื่อนมากมายรอคอยผมอยู่ แค่นี้ก็มีความสุขได้ แน่นอนยามไม่มีเพื่อน เวลาของผมจึงหมดไปกับการได้นั่งเงียบๆ ริมทะเลหัวหินมองเส้นขอบฟ้าไปเรื่อยๆ บางทีใช้เวลาเป็นวันวัน

              จำได้ดีว่าวันที่แม่มาส่งผมลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัย (ตอนนั้นยังมีสถานะเป็นสถาบันฯ) ท่านหยิบห่อเงินจากชายพกราวหนึ่งหมื่นห้าพันบาทด้วยมืออันชุ่มเหงื่อ ส่งให้ผมไปจ่ายเป็นค่าลงทะเบียนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทุกรายการ เหลืออยู่เล็กน้อยเป็นเงินงวดแรกให้ผมเก็บติดก้นกระเป๋า

                ตั้งใจเรียนให้ดีนะลูก จะได้จบเร็วๆ แม่พูดเบาๆ พยายามมองหน้าผม แต่ผมไม่อยากมองตอบ หน้าตาของผมยังคงเฉยเมย เริ่มรู้สึกรำคาญที่ถูกเทศนาสั่งสอนในที่สาธารณะ จะเอาอะไรกันนักหนา แค่ทำหน้าที่แม่ที่ดีให้เงินลูกศึกษาเล่าเรียน ผมนึกในใจ  



                เช้าขึ้นผมแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยแต่เช้า หยิบเงินที่แม่เตรียมไว้ให้ใส่กระเป๋า กินข้าวในครัวเงียบๆ ขณะที่แม่เตรียมข้าวของไว้ขายอยู่หน้าร้าน แต่ผมไม่ได้มุ่งตรงไปมหาวิทยาลัยโดยทันที ผมต้องไปรับเพื่อนคนนั้นคนนี้ใกล้บ้างไกลบ้าง เพื่อเดินทางไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน

                พวกเรายังคงจับกลุ่มคุยกันที่ม้านั่งหน้าอาคารเรียน แม้ว่าจะเลยเวลาเรียนไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ตาม จะรีบเข้าเรียนไปทำไมกัน ให้เรียนกันไปก่อนสักพักแล้วค่อยเข้าไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร  อาจารย์ประจำวิชาตักเตือนก็ทำเฉยเสียบ้าง ทำท่าทีไม่พอใจบ้าง ไม่นานท่านก็จะระอาไปเอง เลิกเรียนแล้วชักชวนเพื่อนขับรถมอร์เตอร์ไซด์ไปเที่ยวกันสนุกสนาน เทอมแรกผลการเรียนของผมไม่น่าพอใจ ได้ A รายวิชาพลานามัย C สองวิชา D+ สองวิชา D สองวิชา เอาละพออยู่ได้ตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องรีไทร์ในเทอมแรก

                คิดเอาว่าเทอมที่สองนี่แหละจะเอาจริงสักที แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผีซาตานตนใดพาผมจมปลักอยู่กับกิจกรรมเดิมๆ ยามจะอ่านหนังสือ ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษมันก็ให้รู้สึกเบื่อหน่ายเกินทนทาน ต้องออกไปนั่งมองคลื่นริมทะเลยามไม่เพื่อนอยู่ใกล้ เหงานักก็ไปหาเพื่อนคนโน้นคนนี้ เข้าเรียนบ้างไม่เรียนบ้างตามอารมณ์ เมื่อพฤติกรรมไม่เปลี่ยน ผลการเรียนก็ไม่เปลี่ยนเช่นกัน แค่สองเทอมแรก ผมถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก เอาน่าไม่ต้องเสียใจ สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมชาติ

                มองหาเพื่อนร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน อ้าว ทิ้งกันเสียแล้ว ไม่เห็นมีใครถูกเชิญออกจากมหาวิทยาลัยเหมือนผมสักคน ไม่มีเหตุผลเสียเลย เล่นด้วยกัน เข้าห้องช้าด้วยกัน ขับรถมอร์เตอร์ไซด์เล่นด้วยกัน โดดเรียนด้วยกัน เราไปรับมาเรียนด้วยกัน แล้วไฉนปล่อยเราออกไปคนเดียว ไม่เป็นไรปีหน้าจะสอบเข้าใหม่อีกครั้ง

                ปีการศึกษาใหม่ผมเป็นนักศึกษาใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกสำนึกได้ คราวนี้ต้องไม่ซ้ำรอยเดิมแน่ ผมตั้งปณิธาน แต่เพียงแค่สัปดาห์ผ่านไป ชีวิตของผมเหมือนลูกโบว์ลิ่งตกร่อง วิ่งตามทางเดิมจนได้ นั่งเหม่อมองทะเล คุยกับเพื่อนหน้าตึก ขับมอร์เตอร์ไซด์กินลม รับเพื่อนไปเที่ยวสถานบันเทิงยามมีเงิน ถามว่ารู้ไหมว่าจะถูกรีไทร์อีกครั้ง รู้แต่ว่ามันยั้งใจไม่อยู่ ผมต้องถูกคุณไสย์เข้าแน่ๆ

                ครั้งนี้ผมเกือบจะไม่ต้องถูกรีไทร์อออกเสียแล้ว แต่ฟ้ายังเมตตาผมอยู่ เหตุการณ์ก็คือ เพื่อนผมเกิดขบเกลียวกับเพื่อนต่างคณะในฐานะคนรักเพื่อนผมต้องออกหน้า วันนั้นผมกับเพื่อนพากันไปยืนแอบตักคู่อริที่หน้าบันไดตึกของเขา เมื่อคู่อริมา ผมวิ่งไล่เตะต่อยจนมันล้มทั้งยืน ดีแต่ว่ามีคนอื่นห้ามปรามเอาไว้ก่อนจะมีการตายเกิดขึ้น

             ผมและเพื่อนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอย่างเคร่งเครียดนานหลายครั้ง แต่เหมือนโชคช่วย ผมรอดมาได้ไม่ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความเมตตาของคณาจารย์ เพียงแค่ถูกทัณฑ์บนไว้ว่าห้ามทำอย่างนั้นอีก แต่มันก็ไม่ได้เป็นความผิดอะไรนักหนา แค่ผมช่วยเพื่อนรักเท่านั้น

                แต่เมื่อผลการสอบสองเทอมออกมา เกรดเฉลี่ยรวมไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ผมจำต้องออกจากมหาวิทยาลัยอีกครั้ง มองหาเพื่อนเก่าปีแรก อ้าว พากันจบการศึกษาไปแล้ว เพื่อนใหม่ทยอยกันขึ้นไปเรียนปีสองกันแล้ว ผมคิดปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรเรียนหลายปีทำให้มีเพื่อนมาก ปีหน้าสอบเข้าใหม่อีกครั้ง

ปีต่อมาผมตัดสินใจเข้าศึกษาหลักสูตร 4 ปี สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ แม้จะรู้ว่าการประพฤติตัวเช่นเดิมจะทำให้ผมต้องวนเวียนเรียนซ้ำชั้นมาสองรอบแล้ว แม้ว่าผมจะตั้งใจอย่างดี แต่ไม่นานนักความตั้งใจก็โอนอ่อนหย่อนคลายลงเหมือนเดิม ผมต้องทุกข์ทรมานผลักดันตนเองให้พ้นจากนิสัยเดิมๆ อย่างสุดกำลัง แต่นิสัยของผมไม่ให้ความร่วมมือกับผมโดยง่าย มันดื้อมันดิ้นจะกลับที่เก่าท่าเดียว ในที่สุดผมก็ชนะ จบปริญญาตรีจนได้ด้วยคะแนนเฉียดฉิว

แม้ว่าจะจบปริญญาตรีแต่กรรมของผมก็ยังไม่สิ้น เดินหางานจนรองเท้าสึก ฟังข่าวเพื่อนคนนั้นทำงานดีๆ ที่โน่นที่นี่แล้วดีใจไปกับเพื่อน ส่วนผมเองหางานไปเรื่อยไอ้ที่ได้ก็ไม่ดี ไอ้ที่ดีก็ไม่ได้ ในที่สุดได้งานเป็นบริกรในร้านอาหารแถวริมชายหาดแห่งหนึ่ง เพื่อนหลายคนถามว่าได้เงินเดือนเท่าไร ผมก็ได้แต่แกล้งยิ้มแล้วชวนคุยเรื่องอื่น ก่อนจบผมขอถามหน่อยว่า ผมควรแก้ไขชีวิตของผมเองในช่วงนั้นอย่างไรบ้าง


(บันทึกปี 2548)

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

sopon's lifeandwork: พิสูจน์ความจริงที่มัฆวาน

sopon's lifeandwork: พิสูจน์ความจริงที่มัฆวาน: "วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2554 ครอบครัวเปียสนิท เดินทางจากหัวหินเข้าสู่เมืองฟ้าอมร กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมงานแต่งงานหลานชาย นายมนัส อารยวัฒนเ..."

พิสูจน์ความจริงที่มัฆวาน

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2554


ครอบครัวเปียสนิท เดินทางจากหัวหินเข้าสู่เมืองฟ้าอมร กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมงานแต่งงานหลานชาย นายมนัส อารยวัฒนเวช กับนางสาว ณัฐวรรณ ลูกสาวทหารอากาศ แถวดอนเมือง จัดงานแต่งขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2554 ที่ สถานที่พักตากอากาศ ราชพฤษ์ ของทหารเรือ นอร์ทพาร์ค ดอนเมือง 




การเดินทางโดยรถตู้ไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อรถไฟฟ้า บีทีเอส เป็นครั้งแรกในชีวิต ขั้นตอนคือ ต้องแลกเงินเอาไปหยอดตู้แลกตั๋ว คนละ 20 บาท ไปสยามพารากอน เพื่อชม งานแสดงกล้วยไม้ไทย สมชื่องานจริงๆ เพราะเมื่อเดินทางไปถึง พบว่ามีผู้คนมากมาย เดินเข้าชมงานอย่างคับคั่ง




คนสูงอายุหญิงชาย คนวัยหนุ่มสาว คราคร่ำเดินชมบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เป็นที่สำราญบานใจอย่างยิ่ง มองเห็นได้ชัด เราสามคน หนึ่งครอบครัว กล้อง 1 ตัว ไม่เพียงพอ เพราะต่างคนต่างอยากเก็บภาพสวยงามแห่งความทรงจำไว้ด้วยฝีมือของตนเอง




เสร็จจากชมความสวยงามแล้วเราเดินทางต่อไปเยี่ยมชม พิสูจน์ความจริงที่สะพานมฆวาน ว่าประชาชนจำนวนหนึ่งมาทำสิ่งใดกัน ณ สถานที่แห่งนี้ ลุงจำลอง ศรีเมือง ลุงภิภพ ธงชัย ลุงสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล และประชาชนทั่วไป ที่มีความเห็นทางการบ้านการเมืองด้านหนึ่ง ที่แตกต่างจากคนอีกจำนวนหนึ่ง จึงชักชวนกันมาทำกิจกรรมทางการเมือง


ผมเห็นว่า เป็นการแสดงออกทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ที่สมควรทำ เพราะก็บอกแล้วว่าเป็นประชาธิปไตย หลายคนเกรงกลัวไม่กล้าแสดงออก ซึ่งเป็นมุมมืดของประชาธิปไตยของไทย ที่หลายคนยังมองไม่เห็น จึงขอเดินทางเข้าเยี่ยมชม ความเป็นอยู่ของคนเหล่านั้น ด้วยความคิดอันเสรี ตามที่หลายคนคิดว่าดี อย่าว่ากันนา เพราะเป็นประชาธิปไตย ควรส่งเสริมนี่ครับ


เราเดินเยี่ยมชม ทุกซอกมุม พูดคุยสนทนา ร้านค้าเสื้อผ้า ร้านหนังสือ กลุ่มสอนดนตรี หลายคนกำลังรับประทานอาหารค่ำ เห็นแถวยาวไกลมากเป็นพิเศษ มองไล่ไปที่หัวแถว ปรากฏว่าเป็น ขนมครก หลังอาหารหลักแล้ว ตามวิสัยคนไทย ควรมีของหวานตบท้ายเสียหน่อย อาหารมีแกงไตปลา ไขเจียว แค่นี้ก็หรูแล้ว ดังนั้นผมขอทดสอบฝืมืออาหารพันธมิตร เสียหนึ่งถ้วย แล้วตามด้วย หมี่โคราช เจ้าของร้านว่าอย่างนั้น แต่มีหญิงชราร่างเล็กคนหนึ่ง มายืนไขความใกล้ๆ ว่าไม่ใช่ หมี่โคราชหรอก พร้อมคำอธิบายอันยืดยาว





ผมเดินต่อหลังอาหารแล้ว เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นไวโอลินกันอย่างสนุก กำลังฝึกเล่นดนตรี มีครูมาสอน แต่คนควบคุมหลายคน เสร็จแล้วเดินซื้อหนังสือเกี่ยวกับปุ๋ยหมัก และหนังสือการเมืองของอาจารย์ปราโมชย์ นาครทรรพ์ นั่งฟังวิทยากรบนเวทีบรรยายอีกนิดหน่อยจึงเดินทางต่อไปค้างบ้านน้องชายที่ดอนเมือง เพื่อเตรียมการเดินทางสู่ สถานที่แต่งงานในวันรุ่งขึ้น แต่เช้าตรู่