บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หนังสือในดวงใจ

หนังสือในดวงใจ-4
โสภณ เปียสนิท
..................................


                จากนั้นท่านสอนแบบวิชาสาม คือการฝึกกสิณชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วยกจิตพิจารณาวิปัสสนาคือความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ที่ต้องดำเนินไปตามหลักของ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เปลี่ยนแปลง อนัตตายึดถือมิได้

                และท่านสอนหลักการปฏิบัติแบบอภิญญา และปฏิสัมภิทัปปัตโต ด้วยการเจริญกสิณครบสิบกอง ฝึกการเจริญญาณ และฌานอย่างต่อเนื่องทุกระดับ แล้วจึงยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาตามหลักไตรลักษณ์ ยอมรับหลักความเป็นธรรมดา เกิดขึ้นดำรงอยู่และดับไป

                ท่านสอนทุกอย่างที่เกี่ยวข้องไว้โดยละเอียด นิวรณ์ ฌาน สมาธิ วิปัสสนา นิมิต อิทธิบาท อิริยาบถ กฏเกณฑ์แห่งการปฏิบัติ บารมีสิบ จริตหก สมาทาน อสุภกรรมฐาน การพิจารณาขันธ์ อนุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา สังโยชน์สิบ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ท่านเรียงตามลำดับ เน้นความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน ยิ่งอ่านยิ่งเห็นความเป็นอัจฉริยะสุดยอดแห่งพระอาจารย์อันหาพระองค์ใดเสมอเหมือนได้ยากยิ่ง

                ประโยชน์ที่ได้จากหนังสือนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องเขียนถึงเพื่อบอกกล่าวคุณผู้อ่านทราบว่าเหตุใดผมจึงยกหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกในดวงใจ

                ประเด็นที่หนึ่ง ผมใช้หนังสือเล่มนี้เป็นสะพานเชื่อมโยงชีวิตเข้าสู่หลักธรรมทางศาสนาอย่างต่อเนื่อง มองเห็นชัดว่าศาสนาเป็นเรื่องเดียวกับชีวิตประจำวัน การเกิดขึ้น การศึกษาเรียนรู้ เจริญเติบโต ร่วงโรยชรา ละทิ้งสังขารสู่สัมปรายภพ

                ประเด็นที่สอง หนังสือเล่มนี้สอนให้รู้จักการพัฒนาชีวิตด้วยการเรียนรู้สรรพวิทยาทางโลกได้อย่างต่อเนื่องไม่ทอดทิ้ง และศึกษาหลักธรรมให้มากขึ้นตามลำดับ การก้าวเดินแห่งชีวิตจึงเป็นความสมดุลระหว่างกายและจิต ระหว่างโลกและธรรม

                ประเด็นที่สาม หนังสือเล่มนี้สอนให้ผมรู้จักการดำรงอยู่ด้วยการทำประโยชน์ทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์แก่สังคมเท่าที่จะสามารถทำได้ ให้สมกับการมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ที่สื่อความหมายว่า ผู้มีจิตใจสูง ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ ผมจึงยกให้หนังสือเล่มนี้เป็นสุดยอดแห่งหนังสือในดวงใจเล่มแรกครับ

หนังสือในดวงใจ-3
โสภณ เปียสนิท
..................................


                หลักแห่งกรรมให้ผล นั่นคือชีวิตผมมีความผูกพันกับการปฏิบัติธรรมเข้าแล้ว ทุกเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วความเคยชิน หรือเรียกภาษาพระได้ว่า อาจิณกรรม หรือกรรมที่ทำด้วยความเคยชินผมต้องทำสมาธิเล็กน้อยด้วยการลุกขึ้นนั่งหลับตามือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย พยายามตั้งกายตรง ประคองใจด้วยการภาวนา สัมมา อรหัง ๆ ๆ พร้อมทั้งตรึกนึกถึงดวงแก้วกลมใส ณ ศูนย์กลางกาย ประคองทั้งภาพดวงแก้ว (บริกรรมนิมิต) และคำภาวนา (บริกรรมภาวนา) ไม่ให้ขาด ขาดเมื่อใดก็เร่งรู้ตัวเริ่มต้นใหม่

                ที่เป็นดังนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน นี่เอง ทุกวันนี้ผมมีหนังสือเล่มนี้อยู่หัวนอน อ่านก่อนนอน อ่านตอนมีเวลาว่าง ค่อย ๆ อ่านทีละน้อย ทีละตอน อ่านเรื่อย ๆ อ่านเหมือนหนึ่งว่ามีหลวงพ่อคอยบอกคอยสอนแนวทางธรรมให้อยู่เสมอ ยึดคำสั่งสอนผ่านหนังสือเล่มนี้เป็นที่พึ่งที่ระลึก ต้องขอขอบคุณ หลวงพ่อวัดเขาหินเทิน ตำบลหนองแก ที่ท่านอนุญาตให้ผมยืมหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกหลาย ๆ ครั้ง

                หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนแนวทางการปฏิบัติธรรมสำหรับชาวพุทธทุกคน เริ่มจากระดับต้นคือระดับศีล ระดับกลางคือระดับสมาธิ และระดับสูงคือระดับปัญญา ท่านสอนว่าคุณธรรมทุกระดับ ฌาน สมาธิ นิพพานเป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญเรา ๆ ท่าน ๆ ปฏิบัติได้ปฏิบัติถึงด้วยตนเองในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้าซึ่งห่างไกลและไม่ควรรอ

                ท่านสอนจากง่ายไปหายาก จากแนวปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโก ผู้เห็นแจ้งแบบธรรมดา ๆ คือเริ่มจากการรักษาศีลห้า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มเหล้า ค่อยรุกทีละข้อครับ ได้ข้อไหนเอาข้อนั้นก่อน นานเข้าก็ได้หมดทุกข้อเพราะจิตละเอียดขึ้น ระหว่างนั้นอย่าลืมสวดมนต์เช้าเย็นไปด้วยอย่าได้ขาด และอย่าลืมภาวนา ตลอดเวลาที่ว่าง เน้นปัจจุบันด้วยการรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรตลอดเวลา กินรู้ว่ากิน ดื่มรู้ว่าดื่ม เดินรู้ว่าเดิน นั่งรู้ว่านั่ง ฯลฯ

หนังสือในดวงใจ-2
โสภณ เปียสนิท
..................................

                หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอ่านแล้วประทับอยู่ในความทรงจำไม่ลืมชื่อ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน เขียนโดยหลวงพ่อพระมหาวีระ  ถาวโร วัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เทพเจ้าแห่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้มีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นอมตะ

                ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อราว ๆ ปีพุทธศักราช 2518 ระยะนั้นผมเป็นเพียงสามเณรหนุ่มที่ไม่ค่อยจะมีการศึกษาเท่าใด ภูมิรู้ทั้งทางปริยัติและปฏิบัติแทบไม่มีติดตัว แถมความดื้อรั้นเกรกมะเหรกยังท่วมท้นในกมลสันดาน ธุลีในจักษุหนาแน่นราวศิลาแท่งทึบ (ปัจจุบันเหมือนว่าหนาแน่นกว่าเดิมนิดหน่อย) ขณะที่อ่านจึงเหมือนอ่านหนังสือธรรมดา อ่านครั้งแรกแล้วยังไม่ซาบซึ้งอะไรมากนัก แต่ทำให้ได้รู้จักหลวงพ่อวัดท่าซุง และเกียรติประวัติของหลวงพ่อปานอันน่าเคารพเลื่อมใสศรัทธา

                ผมได้หนังสือเล่มนี้จากเพื่อนรักเชื้อสายจีนคนหนึ่ง ชื่ออู๋ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ธรรมจักร เลิศวิโรจน์ถาวร บ้านอยู่ที่ท่าน้ำหน้าเมืองกาญจน์ เพื่อนคนนี้ชวนผมปฏิบัติธรรมในหลาย ๆ ครั้งที่ได้อยู่จำพรรษาร่วมกันหลายพรรษา ชวนไปเข้าค่ายอบรมธรรมที่วัดธรรมกายระยะเริ่มก่อตั้ง แล้วชวนไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุง แม้ว่าไม่พบหลวงพ่อ แต่ได้รู้จักวัดท่าซุงเป็นอย่างดี

                ผมฟังเทศน์จากเทปของหลวงพ่อหลายม้วน อ่านและฟังเทปของหลวงพ่ออื่น ๆ หลายองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พร้อมทั้งได้รับการกล่อมเกล่าให้รู้จักการสวดมนต์ไหว้พระเช้าเย็น แม้ว่าบ่อยครั้งที่ผมลืมละเลยการปฏิบัติธรรม แต่พอนึกขึ้นได้ผมก็หันกลับมาปฏิบัติดังเดิม ทำบ้างไม่ทำบ้างสลับกันเรื่อยมา ถึงวันนี้เหมือนว่าผมเก็บหน่วยกิต (สั่งสม) มาได้มากพอควร

หนังสือในดวงใจ-1
โสภณ เปียสนิท
..................................

                ผมชอบอ่านหนังสือ ทุกวันต้องอ่านหนังสือถ้าไม่อ่านหนังสือจะรู้สึกเหมือนว่าชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง อ่านทุกเวลาที่ว่าง ในกระเป๋าคู่มือของผมจะมีหนังสือที่อ่านค้างไว้อยู่เสมอ บางครั้งรู้สึกหนักที่ต้องหิ้วกระเป๋าหนังสือไปด้วย และหลายครั้งผมหิ้วหนักไปเฉย ๆ โดยไม่ได้อ่าน แต่ที่ต้องหิ้วไปด้วย เพราะ ผมจะรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งเมื่อมีเวลาว่างขึ้นมา แล้วหาหนังสืออ่านไม่ได้ หนอนหนังสือทุกคนคงเข้าใจความรู้สึกชนิดนี้ได้ดี

                ผมอ่านหนังสือหลายประเภทหลายแนว ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หนังสือกวีนิพนธ์ผมก็ชอบ เรื่องสั้น นวนิยาย อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ อ่านนิตยสาร อ่านทั้งหนังสือธรรมะ หนังสือทางการแพทย์ผมยังอ่านบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับชีวจิตของอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง

                ผมเขียนสนับสนุนการอ่านไว้หลายครั้ง ในคอลัมน์ นานาทัศนะ ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าการอ่านมีประโยชน์ต่อสมองของคนทุกคน สร้างคนจากทึมทึบไร้การศึกษาให้มีการศึกษา จากคนชั้นล่างเป็นคนชั้นกลางหรือชั้นสูง จากคนถ่อยเถื่อนให้เป็นคนอารยะ และคนเหล่านั้นจักเป็นกำลังหลักของสังคม ประเทศชาติ และโลก

                เขียนถึงตรงนี้ต้องขอถือโอกาสเสนอคุณผู้อ่านทุกระดับว่า ผมเห็นว่า รัฐควรจัดการศึกษาแบบให้เปล่า หรือแบบราคาถูกที่สุด ให้แก่ทุกคน นี่คือวิธีการติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ปวงชนของเรา โดยวิธีการนี้เท่านั้นที่จะทำให้ประเทศของเราต่อสู้กับประเทศอื่นได้อย่างทัดเทียมในภาวะแห่งการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตายของโลกยุคโลกาภิวัตน์

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-6

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-6
โสภณ เปียสนิท
...........................

คราวนี้เธอก้มหน้านิ่งนาน มองลงไปที่พื้นเบื้องล่าง แมวสองตัวเดินมาใกล้ปลายเท้าสองข้างของเธอแล้วคลอเคลียไม่จากไป “ทำไมแต่งงานไม่ได้”  เค้าลางของความยุ่งยากยิ่งกว่าครอบคลุมบรรยากาศที่มืดมิดให้มืดยิ่งกว่าลงไปอีก เธอเงยหน้ามาเผชิญสายตากับผมอย่างตรงไปตรงมา มองเห็นขอบตาสองข้างของเธอเอ่อล้นด้วยน้ำใส “หนูเป็นเมียน้อย” แล้วก้มหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองนิ่งนานอยู่อย่างนั้น
หลังการสัมมนาครั้งนั้น เรา ผู้เข้าร่วมประชุมต่างกล่าวลาซึ่งกันและกันด้วยความอาลัย สำหรับ “ดวงดาว” ยังอยู่ในห้วงคำนึงของผมอย่างไม่เสื่อมคลาย ช่างเหมือนลีลาแห่งดวงดาวบนฟากฟ้าสมชื่อ ทุกคราเมื่อค่ำคืนมาเยือน ดวงดาวมากกว่าคณานับค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่ฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเกินคะเน แข่งขันกันเปล่งแสงอันสุกสกาวระยะระยับ ระหว่างเวลาอันเริงรื่น ดาวบางดวงร่วงลงสู่ภาคพื้นหายลับไปต่อหน้า บางดวงส่องแสงริบหรี่เหมือนหดหู่กับชีวิต นอกจากนี้ต่างร่ายลีลารอแสงสุรีย์ดวงตาแห่งโลกจะมาเยือนในวันรุ่ง นี่คือลีลาแห่งดวงดาว


ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-5

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-5
โสภณ เปียสนิท
...........................

ดูเธอไม่ค่อยจะแสดงออกทางบวกกับแม่เท่าใด “ปกติไหว้แม่หรือเปล่า” “ไม่เคยเลยค่ะ อาจารย์” “อ้าว ทำไม” “มันเขินนะ” “ทำความความดีเขินทำไม” “ต้องไหว้ด้วยหรือ” “ไหว้แม่ได้บุญ ทุกครั้งที่กราบไหว้” “หรือค่ะ ไม่เห็นมีใครบอกหนูเลย” “ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ดู จึงไม่ได้เห็น” “อาจารย์ว่าหนูอีกแล้ว” “สอนไง ทำหน้าที่ของลูกซิ บุญจะได้คอยช่วยเหลือ” ข้อสังเกตที่พอจับได้ เธอไม่ค่อยจะมีแนวคิดเชิงบวกตามหลักแห่งชาวพุทธ อดคิดต่อไม่ได้ว่า การดำรงชีวิตของเธอประกอบด้วยหลักธรรมน้อยไปหน่อย
เวลาค่อยๆ ผ่านเลยจากบ่ายไปสู่เย็น จากเย็นไปสู่หัวค่ำ จากหัวค่ำไปสู่มืดค่ำ สายน้ำแควใหญ่ถูกพระหัตถ์แห่งรัติกาลเทพคลี่ม่านมืดมิดครอบคลุม แผ่วเสียงหลังไหลเอื่อยรินแว่วยินอยู่เป็นระยะ ลูกค้าเหลือเพียงโต๊ะของเรา “ศิษย์กับอาจารย์” นานสิบปีเจอกันอีกครั้ง ณ ร้านกาแฟริมฝั่งแควใหญ่แห่งเมืองกาญจนบุรี
เรื่องราวของเธอนับว่าสนใจไม่น้อย เพราะไม่จบลงง่ายๆ แบบที่ผมและคุณผู้อ่านอยากให้เป็น เมื่อผมถามว่า “ชีวิตวันนี้ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมากซิ” สีหน้าของเธอหม่นลง ก้มหน้ามองถ้วยน้ำส้มว่างเปล่า จนผมสังเกตเห็น จึงสั่งน้ำเปล่าให้เธออีกแก้ว “ไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ” “เป็นไปได้อย่างไร เธอทำงานราชการเป็นพยาบาล เธอจบปริญญาโท และกำลังเรียนปริญญาเอก น้อยคนที่จะประสบความสำเร็จเช่นเธอ” “อาจารย์ค่ะ ชีวิตหนูมิใช่เดินบนพรมสวยงามหรอก” “หมายความว่า....” “หนูท้อง3 เดือน แล้วค่ะ” ผมไม่แปลกใจเท่าไร เพราะพอมองออกอยู่บ้าง “เออ...ก็ดีนี่ จะได้เรียนรู้เรื่องความเป็นแม่เสียบ้าง” “แย่ยิ่งกว่านั้นอีก” “เอ้ย...อะไรอีก” เธอหม่นหมองลงไปอีก “หนูยังไม่ได้แต่งงานเลยค่ะ” “ไม่เป็นไรนะ ก็รีบแต่งซิ จะได้ทันเวลา” “ไม่ได้ค่ะ” คราวนี้ผมงงหนัก ยังไงกัน “เพราะอะไรหรือ”

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-4
โสภณ เปียสนิท
...........................

เธอยิ้มกว้าง “อากาศดี มหาวิทยาลัยดี ที่พักดี มีแฟนดี” “แสดงว่าประทับใจ” “ใช่ค่ะ อาจารย์” “เล่าไปซิ น่าสนใจ” “เรื่องไหนค่ะ” “เอาเฉพาะที่อยากเล่าแล้วกัน” “หนูชอบบรรยากาศที่โน่นมาก” “อยู่กี่ปี” ผมถามทั้งที่พอเดาเวลาได้ “สองปีกว่าค่ะ” “ก็น่าจะมีความสุขดี” “ดีมาก แฟนพาไปเที่ยวหลายแห่งเลย” “ดีแล้ว ความรักสวยงาม” “ค่ะ สวยงาม แต่ไม่คงทน” “อ้าว หมายความว่า....” “หลังจากจบปอโทแล้ว ก็ดูว่ามันจืดจาง” “อย่างไร” “เขาไม่ตาม ไม่ค่อยถาม ไม่ง้อ” ผมเริ่มรู้สึกแปลกแปร่งในความรักของเธอ
ในใจสงสัยชีวิตช่วงเรียนระดับมัธยมของเธอ “แล้วตอนมัธยมไม่มีความรักหรือ” เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในแววตาของเธอ สมตามคำที่กล่าวไว้ว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ ดวงตาเป็นเช่นไร ดวงใจก็เป็นเช่นนั้น”  “มีซิค่ะ แต่มันเป็นความรักแบบเด็ก พั๊พพี่เลิฟ ไม่จีรัง” “เล่าไปหน่อย ถ้าเล่าได้” “มีชายหนุ่มชายแก่มารักหนูหลายคน” “แล้วเธอไม่รักเขาหรือ” “ไม่อยากจะเรียกว่ารัก” “มันยังไง” “ก็แค่คุยกัน ไปเที่ยวกัน ดูหนัง ทานข้าว สนุกดี” เธอเห็นเรื่องราวแบบนี้เป็นความสนุก “รถไฟไม่ชนกันบ้างหรือ” “โห ไม่เว้นแต่ละวัน ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมสับราง หลบๆ ซ่อนๆ” ผมมองเธอนิ่งๆ นึกเป็นห่วงว่า การล้อเล่นกับความรักในวัยสาวหนุ่มเป็นอันตราย “รู้เปล่าว่า ทำเช่นนั้นไม่ค่อยดีนัก” “รู้ค่ะ แต่ว่ามันเหมือนเป็นรสชาติของชีวิต” “ระวังตัวให้ดีด้วย ชีวิตเดินไปตามหลักกรรม” “หมายความว่าอย่างไรคะ” “หมายความว่า อย่าประมาท” เธอทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
นั่งนิ่งเหม่อมองสายน้ำแควใหญ่ไหลล่อง ใจคนก็เหมือนน้ำมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ รู้สึกเป็นห่วงว่า เธอล้อเล่นกับชีวิตมากเกินไปหรือเปล่า เธอแปลกใจว่า เหตุใดผมเงียบไป “ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์ หนูมีความสุขดี” “ระวังหน่อยแล้วกัน แล้วใครส่งเรียน” ผมเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน “แม่และแควนๆ” เธอเจตนาพูดคำเพี้ยนไปนิดหน่อย “แล้วแม่เป็นอย่างไรบ้าง” “แม่สบายดี ตามประสาคนแก่”

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-3

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-3
โสภณ เปียสนิท
...........................

                สีหน้าของเธอขรึมลง ก่อนเอ่ยเป็นการเป็นงาน “อาจารย์คิดว่าชีวิตหนูควรเป็นอย่างไรค่ะ” ผมเริ่มนิ่งใช้ความคิดอย่างหนัก คำถามของเธอจริงจังเกินกว่าจะคุยเพื่อผ่านเลย “น่าจะประสบความสำเร็จเกินอัตราเฉลี่ย ของหญิงสาวทั่วไปนะ” ผมแสดงทัศนะตามที่เห็นและคิด “ไม่นะ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น” เธอคัดค้านแสดงว่ายังไม่พึงพอใจต่อวันนี้ของชีวิต
                “แล้วเป็นอย่างไร” ผมแสดงความสนใจในเรื่องราวของเธอมากยิ่งขึ้น “การเรียน หนูก็เรียนแค่ผ่าน” “ไม่เป็นไร่นี่ อย่างน้อยก็เรียนจบปริญญาตรีมาได้แล้ว” “ใช่อาจารย์ แต่มันก็แค่ผ่าน” “ดีแล้ว น่าจะพึงพอใจ ตอนนี้เธอทำอะไร” “หนูเรียนต่อค่ะ” ผมดีใจกับเธอ “ดีแล้วนี่ น้อยคนจะได้เรียนต่อปริญญาโท” เธอตอบกลับมาโดยเร็ว “ต่อปอเอกแล้วค่ะ” “อ้าว..” ผมร้องอ้าวยาวนานกว่าปกติ “อย่างนี้ต้องเล่าให้อาจารย์ฟังหน่อย”
เธอจิบน้ำส้มในแก้วมองไปทางสายน้ำแควใหญ่ยามเย็นย่ำสายัณห์ตะวันรอน “หลังจากเรียนกับอาจารย์ 1 ปี หนูสอบเข้าพยาบาลเชียงใหม่ได้ จึงไปเรียนที่โน่น จบแล้วก็ทำงานพยาบาล แล้วก็ไปต่อปริญญาโท” ผมรู้สึกอย่างยินดีที่เห็นศิษย์ก้าวหน้าทางการศึกษา “ดีแล้ว ที่เธอขยันเรียน เพราะการเรียนทำให้ชีวิตก้าวหน้า” “ใครใครก็เรียนแบบหนูนี่แหละค่ะ” “อ๋อ แสดงว่าพยาบาลขยันเรียนกันทุกคน” ผมชื่นชมและชื่นชอบการเรียนอยู่ก่อนเป็นทุนเดิม
นั่งมองดอกกุหลาบสีแดงสองดอกในแจกันทรงสูงขนาดเล็กกลางโต๊ะ เธอหยุดจิบน้ำส้มแก้คอแห้งสีหน้าครุ่นคิดย้อนรำลึกเหตุการณ์ในความทรงจำ “ช่วงชีวิตแห่งการศึกษา เป็นช่วงชีวิตแห่งความสุขของหนู” สีหน้าฉายความสุขออกมาให้เห็นอย่างสังเกตได้ “เอ..มันสุขอย่างไรกันหรือ” ผมอดสงสัยไม่ได้ เพราะการเรียนในระดับปริญญาโท ต้องทุ่มเทมิใช่น้อย กว่าจะผ่านไปได้

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-2

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-2
โสภณ เปียสนิท
...........................

                คราวนี้ได้ผล ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาบ้าง ใช่แล้วสาวน้อยหน้าหวานที่เห็นอยู่นี่คือ “ดวงดาว” สาวน้อยจากราชบุรี เรียนสาขาภาษาอังกฤษธุรกิจอยู่ราวๆ 1 ปี แล้วลาออกไปเรียนต่อพยาบาล ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมมองหน้าเธออีกครั้งด้วยรอยยิ้มเขินๆ “ใช่ จำได้แล้ว เธอทักอาจารย์ตอนอยู่หน้างานวิทยาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร” คราวนี้เธอชมด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ดีใจที่อาจารย์จำหนูได้” เธอทำท่าจะนั่งบนสันเขื่อนบ้าง
                แต่ผมเห็นว่าเดี๋ยวเสื้อผ้าเธอจะเปื้อน “โน่นไปนั่งคุยกันที่เก้าอี้ที่ร้านขายเครื่องดื่มดีกว่า” “ดีเหมือนกันค่ะ อาจารย์ หนูมีเรื่องคุยหลายเรื่อง” เธอทำท่าดีใจที่ได้คุย ระหว่างเดินทางสู่ร้านขายน้ำดื่ม ผมใคร่ครวญอย่างชื่นมองในรูปร่างหน้าตาและบุคลิกภาพ เด็กคนนี้หน้าตาดี บุคลิกดี ต้องประสบความสำเร็จในชีวิตแน่
                หลังจากจิบกาแฟเล็กน้อย “สิบกว่าปี เธอคงเผชิญโลกมามากมาย ซินะ” เธอยิ้มกว้างพยักหน้าตอบรับ “เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน” เธอถือแก้วน้ำส้มทรงสูงไว้ในมือสองข้าง นิ้วนางข้างขวายังไม่มีแหวน ผมเอ่ยคำคมให้เข้ากับสถานการณ์ “ก็จริงอย่างเธอว่า หากเรายืนอยู่กับที่ ขณะโลกหมุนไปข้างหน้า ก็ถือว่าเราล้าหลัง” “แล้วอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง” เธอเริ่มถามสารทุกข์ของผมก่อน “สบายดี เหมือนเดิม สำหรับอาจารย์แล้ว เหยียบโลกไว้ให้มั่น แล้วโลกมันก็หมุนไปเอง” เธอทำหน้างง แล้วถามว่า “หมายความว่า....”
                ผมตอบตามที่คิด “ชีวิตแล่นไปเรื่อยเหมือนเรืออยู่ในคลอง นั่งนิ่งๆ เรือมันล่องไปเอง” เธอยิ้มกว้างเบิกบาน “โห อาจารย์เจ้าบทเจ้ากลอน ช่างปรัชญาจริง” ฟังไม่ออกว่าเธอพอใจหรือไม่ เหมือนเป็นคำล้อเล่นมากกว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เตรียมตรวจการบ้าน อ่านหนังสือ เตรียมสอนวันต่อไป เผลอนิดเดียว เวลาผ่านไปสิบปี”

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-1

ลีลาชีวิตแห่งดวงดาว-1
โสภณ เปียสนิท
...........................
          ยามเย็นหลังเลิกการประชุมการเพิ่มคุณภาพบัณฑิตด้วยคุณธรรม ผมเดินรอบบริเวณสวนธารณะของโรงแรมริมน้ำแห่งหนึ่งในเมืองกาญจนบุรี ยืดเส้นยืดสายจนรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จึงหยุดนั่งบนแนวเขื่อนริมฝั่งแม่น้ำแควใหญ่วันนั้น  นั่งมองสายน้ำสายน้ำไหลเอื่อยรินเฉื่อยช้า แต่ต่อเนื่องไม่เคยหยุด ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำมีต้นไม้ชายฝั่งร่มครึ้มเขียวขจี มองแล้วรู้สึกเย็นใจดี
          สายน้ำแควใหญ่แห่งนี้ผูกพันกับชีวิตของผมตั้งแต่เกิด เกิดบนเรือต่อลำใหญ่ที่พ่อซื้อมาเพื่อไว้ขนส่งสินค้าทางการเกษตรไปส่งในเมือง ผมเติบโตบนเรือต่อลำนี้ ผมตกน้ำสายนี้เกือบตาย ผมไปโรงเรียนจากเรือลำนี้
                สาวน้อยคะเนอายุราว 30 กว่าปี เดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม ผมรักษาสีหน้ามิให้งง ยิ้มตอบ เธอยกมือสวัสดีจนผมรับไหว้แทบไม่ทัน “สวัสดีค่ะ อาจารย์ จำหนูได้เปล่า” คงเป็นเพราะสีหน้าผมแสดงออกอย่างเต็มที่ เธอรีบกล่าวต่อ “หนูดาวค่ะ ลูกศิษย์อาจารย์เมื่อ 10 กว่าปีก่อน” คงมีอาจารย์น้อยรายนะครับที่จะจำศิษย์เมื่อ 10 กว่าปีก่อนได้
          ยกมือรับไหว้ พร้อมรอยยิ้มรักษาหน้าตา เพราะความทรงจำเกี่ยวกับสาวน้อยรายนี้จมอยู่ในซอกมุมของหัวใจ เกินกว่าที่จะงมหาให้เจอ “นานเหลือเกินนะ เพิ่งจะกลับมาเจอกัน” เธอมองนิ่ง หน้าเปื้อนยิ้ม เหมือนชนะคะแนนเหนือกว่าคู่แข่งคือผมเอง ในด้านความทรงจำ “หนูพบอาจารย์ในการสัมมนาที่ มอนเรศวรฯ”

ป้าแท้เผาถ่าน-4


ป้าแท้เผาถ่าน-4

โสภณ  เปียสนิท
....................................................

ผมเดินกลับบ้านเมื่อป้าแท้กำลังสาระวนกับการเก็บข้าวของกลับบ้าน ต่อมาอีกสองสามวันเมื่อผ่านไปมา ผมมองควันขาวลอยสู่เบื้องบนกระจายหายไปในอากาศทุกครั้ง คิดในใจว่าไม่นานควันไฟคงสิ้นสุดลง ป้าแท้จะมากลบช่องควันถมดินให้หนาแน่นขึ้นไปอีก ชนิดไม่ให้มีอากาศเล็ดลอดเข้าข้างใน เพื่อดับไฟ  ผมเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ตามที่คิดครับ กองดินเตี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวด้านบนเรียบสนิท
สองวันต่อมาผมได้เห็นกิจกรรมแห่งครอบครัวของป้าแท้อีกครั้ง คราวนี้ป้ามาพร้อมกับลุงแก่คนหนึ่งรูปร่างผอมแกร่งวัยเกินหกสิบ หมวกใบเก่าสวมบนศรีษะขาดชายรุ่งริ่ง ป้าชวนคุยเหมือนเคย ส่วนลุงหันมามองนิดเดียว แล้วง่วนอยู่กับการใช้จอบโกยเปิดหน้าดินที่กลบกองถ่านของแกต่อไป
ก้อนถ่านสีดำสนิทเรียงรายอยู่ใต้ดินอย่างเป็นระเบียบ  ป้าและลุงต่างช่วยกันโกยถ่านใส่กระสอบด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ใส่กระสอบเต็มแล้ว ป้าแท้หันมาเย็บปิดปากกระสอบ ลุงยังคงโกยถ่านใส่กระสอบต่อไป สองแรงแข็งขันไม่นานนักโคนต้นกุ่มบกใกล้ ๆ มีถ่านใส่กระสอบเสร็จแล้วหลายใบเรียงรายในแนวตั้ง
นั่งนึกอยู่ว่าป้าจะจัดการกับถ่านในกระสอบอย่างไร เพราะดูแล้วป้าและลุงสองแรงคงไม่อาจขนย้ายถ่านด้วยมือเปล่ากลับบ้านได้แน่ ไม่นานนักชายหนุ่มสองคนเข็นสาลี่ผ่านหน้าราชมงคลสู่สถานที่เผาถ่านอย่างช้า ๆ ป้ายังคงเย็บปิดปากกระสอบถ่าน ลุงยังคงโกยถ่านใส่กระสอบ ลูกสองคนของลุงกับป้าต่างช่วยกันขนถ่านที่ผ่านขบวนการผลิตเสร็จแล้วขึ้นสู่รถสาลี่เข็นกลับบ้านริมเขาโดยไม่พูดจากันมาก เหมือนต่างคนต่างรู้หน้าที่
ป้าแท้คุยไปเย็บปากกระสอบไป การเผาถ่านครั้งนี้ได้ถ่านทั้งหมด 15 กระสอบ ถ้าราคากระสอบละ 200-300 บาท คงมีรายได้ราว 4000 บาท กับการทำงานราวสองสามอาทิตย์เริ่มตั้งแต่การเก็บรวบรวมท่อนไม้ นำมาตัดบั่นเป็นท่อนขนาดที่พอเหมาะ เรียงรายเป็นกอง นำใบไม้ปิดบนกองไม้ ขนดินถมทับบนกองไม้ จุดไฟเผาถ่าน รอ 4-5 วัน ตบดินทับลงให้แน่นเพื่อดับไฟ รออีกราวหนึ่งวัน ดับสนิท
ป้าอาจภูมิใจพอใจกับงานที่สำเร็จลง และรายได้ที่จะนำมาหล่อเลี้ยงครอบครัว ผมเองในฐานะกองเชียร์อดจะดีใจไปกับป้าด้วยไม่ได้
ควันไฟที่ลอยคว้างขึ้นบรรยากาศหายไปนานแล้ว ป้าแท้เก็บเกี่ยวผลพวงจากการทำงาน งานอันสืบเนื่องมาจากบรรพกาล ซึ่งนับวันจะหมดไปเพราะโลกยุคดิจิทัลที่หมุนเร็ว มนุษย์เพิ่มขึ้นเกินกว่า 6000 ล้านคน ธรรมชาติลดลงอย่างรวดเร็ว คุณผู้อ่านและผมคงต้องปรับตัวตามโลกอย่างมาก กว่าวันสุดท้ายจะมาถึง


ป้าแท้เผาถ่าน-3



ป้าแท้เผาถ่าน-3
โสภณ  เปียสนิท
....................................................


ฟ้ามืดลงทุกขณะ ช่วงระยะเข้าไต้เข้าไฟ เสื้อสีคล้ำของป้ากลืนกับหม่นมัวแรกแห่งรัตติกาล ภาพลาง ๆ เคลื่อนไหวไปมาตามกิจกรรมที่ทำ ป้าเริ่มจุดไฟ โดยใช้ไต้เป็นเชื้อ เสียบเข้ากับปลายไม้แล้วแหย่เข้าตรงช่องที่จัดทำไว้ตั้งแต่แรก ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยความสนใจ ไม้แห้งบ้างสดบ้างอย่างนี้จะติดไฟได้หรือไม่
ไม่นานนักควันไฟเริ่มคลุ้งทั่วบริเวณใต้ลม ผมขยับเปลี่ยนทิศให้พ้นแนวควัน แล้วชวนป้าคุยไปเรื่อย ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น ป้าหันไปจับจอบขุดดินจากหลุมลึกกว้าง โกยดินใส่ปุ้งกี๋ แล้วยกขึ้นเทบนกองฟืน ค่อย ๆ เกลี่ยให้ทั่วเรียบเสมอกัน เพิ่มเติมตรงนั้นตรงนี้
ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นกิจกรรมอันเคยผูกพันกับชีวิตช่วงปฐมวัย กิจกรรมอย่างนี้ชักนำวันคืนเก่า ๆ กลับมาสู่ความทรงจำ ผมนั่งมองป้า พร้อมชวนป้าพูดคุยอย่างอ้อยอิ่งไม่ยอมเลิกรา คิดว่าป้าคงนึกรำคาญ
เรือต่อลำใหญ่ ลำน้ำแควใหญ่ บ้านหลังคาจากรั่วมองเห็นแสงจันทร์ยามค่ำคืนหลังแรกริมฝั่ง ธุรกิจเล็ก ๆ ขายของชำ ลังเหล้าขาว แม่หาบขนมขายในหมู่บ้าน พ่อขายไอติม มอร์เตอร์ไซด์คันเก่า โรงเรียนหลังเก่าริมแควใหญ่ วัดท่ามะนาวใกล้โรงเรียน ต้นกระเช้าใหญ่ผีดุ ไร่อ้อย ต้นมะม่วง เห็ดโคนโคนต้นมะม่วง เตาเผาถ่านประจำหลังบ้าน ที่เผาถ่านชั่วคราวหน้าบ้านฝั่งตรงข้ามถนน การล่าแย้ในป่าริมเขา ภาพเก่า ๆ เหล่านี้ยังวนเวียนในความทรงจำของชายวัยกลางคนอายุสี่สิบสี่ปี
ความมืดมัวโรยตัวปกคลุมยิ่งขึ้นทุกที ฟืนกองใหญ่ถูกดินกลบไว้เบื้องล่างแน่นหนา ควันไฟขาวเข้มลอดจากขอบด้านล่าง ป้าแท้เรียกว่า ตีนเตา ป้าแท้มองกลุ่มควันด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เมื่อควันมากเกินป้าบอกว่า มีการเผาไหม้เกินความพอดี จะทำให้ถ่านเหลือน้อย ป้าตักดินกลบช่องปล่องที่ควันออกให้เหลือน้อย เพื่อควบคุมจำนวนอ็อกซิเจนให้รอดเข้าข้างในน้อยลง

ป้าแท้เผาถ่าน-2

ป้าแท้เผาถ่าน-2
โสภณ  เปียสนิท
....................................................

                ระหว่างการพูดคุย ป้าขนเศษไม้ท่อนสั้นบ้างยาวบ้าง หักบ้าง ตัดฟันบ้าง เลื่อยบ้างมาเรียงกองซ้อนเป็นชั้น ๆ สูงพ้นพื้นดินกว่าหนึ่งเมตร ใกล้ต้นกุ่มบกขนาดกลางต้นหนึ่ง และกำลังเพิ่มความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่ละน้อย ผมนั่งลงบนขอนไม้พูดคุยกับป้า และทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งยังอยู่บ้านกับพ่อที่เมืองกาญจน์
                การเผาถ่านคือภูมิปัญญาที่พัฒนาถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นในการหุงหาอาหารของบรรพบุรุษ ขั้นตอนก็คือการเก็บท่อนไม้ เศษไม้มากองรวมเหมือนที่ป้าแท้กำลังทำ เว้นช่องเล็ก ๆ ใต้กองไม้ไว้สักหน่อย เพื่อใช้เป็นช่องจุดไฟ โดยซุกเชื้อเพลิงไว้ข้างในจำนวนหนึ่ง 
                เมื่อจำนวนไม้แห้งบ้างสดบ้างปะปนกันไป มากพอตามต้องการแล้ว ป้านำไม้รวกมาตัดเป็นท่อนสั้น ๆ สิบกว่าท่อนปักบนดินรอบกองไม้ สูงราวศอกเศษ แน่นหนาพอควร ไม้รวกอีกส่วนหนึ่งค่อนข้างยาวถูกผ่าครึ่งนำมาขัดไว้รอบ ๆ คล้ายรั้วเตี้ย ๆ ผมพอนึกภาพออก เพราะพ่อเคยทำให้ดูเมื่อครั้งพ่อยังอยู่ในวัยกลางคน และผมเองยังวัยเยาว์ ป้ากำลังทำรั้วป้องกันไม่ให้ดินที่จะนำมาถมทับด้านบนลื่นไหลลงด้านล่าง
ป้าใช้ใบไม้ปกคลุมข้างบนกองไม้ เพื่อป้องกันดินหล่นลงไปอุดช่องระบายอากาศระหว่างช่องว่างระหว่างไม้ แล้วขุดดินจากบริเวณรอบ ๆ นำมาทับไว้ข้างบนใบไม้อีกทีหนึ่ง เกลี่ยดินให้ทั่วทั้งกอง มองจากที่ไกลเหมือนว่าใครมาก่อกองดินไว้ทำอะไรบ้างอย่าง บางทีมองเหมือนจอมปลวกขนาดใหญ่

ป้าแท้เผาถ่าน

ป้าแท้เผาถ่าน-1
โสภณ  เปียสนิท
....................................................

                กลุ่มควันสีขาวโพลงลอยตามแรงลมขึ้นสู่ท้องฟ้า จากพื้นที่กว้างระหว่างราชมงคลเขต 3 และวัดคีรีวงศาราม  แล้วค่อย ๆ เจือจางหายไปในบรรยากาศอย่างรวดเร็ว  พื้นที่ตรงนี้ในความทรงจำ เมื่อสิบกว่าปีก่อนเป็นป่ากว้าง หน้าร้อนหมู่ไม้ยืนต้นสงบนิ่งทิ้งใบสีซีดเกลื่อนพื้นหินปนดินทราย หน้าฝนผลิใบเขียวขจีปกคลุมปฐพีร่มเย็น สภาพเหมือนชนบทห่างไกล
                วันนี้พื้นป่าถูกแผ่วถางเตียนโล่ง ต้นไม้โชคดีจำนวนน้อยยืนต้นโดดเดี่ยว ก้อนหินและดินทรายโล่งแล้งกลางแดดเปรี้ยงเหมือนคนไร้เพื่อน หลายวันที่ผ่านมา เสียงรถไถกึงกัง ๆ ตลอดเวลากลางวันจนดึกดื่น ร่องรอยหมู่ไม้ใหญ่น้อยถูกไถโค่นล้มถอนรากถอนโคนไปกองอยู่ตรงโน้นตรงนี้  ควันไฟคุกรุ่นจากกองเศษไม้เหล่านั้นเองที่ลอยหายในสายลม ริมถนนมีป้ายบอกขายที่ดินแปลงนี้พร้อมเบอร์โทรศัพท์เพื่อการติดต่อ
                กลางทุ่งโล่งหญิงชรารูปร่างท้วม ใส่เสื้อคอกระเช้า สวมเสื้อคลุมสีดำ เดินไปเดินมาวุ่นวายเหมือนกำลังทำกิจกรรมบางอย่าง ผมยืนมองภาพนั้นด้วยความสนใจ ผู้หญิงชรา กลุ่มควัน กองไม้แห้ง ก้อนหิน และกิจกรรมบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
                หลังการวิ่งออกกำลังกายบนถนนหน้าวัดเสร็จแล้ว ผมจึงเดินไปหาจุดที่ดึงดูดความสนใจ หลังการสนทนาผมจึงได้รู้จัก นามของหญิงชราที่กำลังทำงานกลางทุ่งกว้างอย่างเดียวดายคือ ป้าแท้ แห่งบ้านชายเขาภายในบริเวณสุสานจีนหน้าราชมงคล

หัวหิน2554


“หัวหิน2554”



มองลั่นทมเดียวดายริมชายหาด
มีคลื่นสาดรอยทรายหลายหลายหน
เห็นสีฟ้าทาสีน้ำงามน่ายล
เหลียวหาคนบางครั้งยังไม่มา


            ในความเงียบสงบงันอันน่าเหงา
เหม่อมองเงาแมกไม้แต่ไร้ป่า
เห็นบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตา
มีร้านค้าอาหารให้ทานแทน


            เย็นสายลมพรมพลิ้วริ้วสายน้ำ
เช้าจรดค่ำย่ำเย็นเป็นสุขแสน
นักท่องเที่ยวเดินทางมาต่างแดน
ต่างควงแขนคู่รักมาพักนอน


            มารับลมชมฟ้ามองหาคลื่น
หลับแล้วตื่นชื่นนักมาพักผ่อน
นั่งชมฟ้าสายัณห์ตะวันรอน
สุรีย์จรลับลงคงหมดแรง


            บ้างเดินหาอาหารวันโหยหิว
บ้างชมวิวทิววิถีมีหลายแห่ง
แขกจีนไทยฝรั่งชวามาสำแดง
บ้างแสวงหาสิ่งใดยังไม่รู้


            หาดหัวหินวันนี้มีหลายอย่าง
ที่เปิดกว้างกึกก้องเกินร้องกู่
แฝงเล่ห์กลมนตราเรียกมาดู
อาจชื่นชูเฉยชาหรือน่าชัง



โสภณ  เปียสนิท
39/3 เขาพิทักษ์ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110

สัญญารักวาเลนไทน์

สัญญารักวาเลนไทน์

สัญญาจากดวงใจกับใครเล่า
แล้วใครเขาถือมั่นสัญญาไหม
หากสัญญามิแปลกใจแลกใจ
เราจึงได้ยึดมั่นคำสัญญา

               เมื่อเขาไม่ถือมั่นสัญญาหมอง
หัวใจร้องร่ำไห้อาลัยหา
เสียดายนักรักเอยเคยศรัทธา
ถึงยามลาลืมลงคงลางเลือน

               วาเลนไทน์วันที่มีรักแท้
เคยแน่วแน่นานเนากว่าเสาเขื่อน
สุกสว่างพร่างพราวกว่าดาวเดือน
รักเสมือนอ้อยตาลหวานชื่นใจ

               อนิจจาวาเลนไทน์ในวันนี้
ดอกไม้ที่เคยทำนำมาให้
เป็นภาพลวงล่วงกาลเลยผ่านไป
ทั้งอยู่ใกล้เหมือนไกลไม่เหลียวแล

               วาเลนไทน์วันที่มีสองด้าน
มีรสตาลหวานล้ำถึงยามแก่
มีรสขมตรมห้วงกลางดวงแด
เมื่อรักแปรเปลี่ยนแปลกแล้วแยกทาง

               คำสัญญาวาเลนไทน์จึงไร้ค่า
ยิ่งโหยหาร่ำไห้ยิ่งไกลห่าง
ยิ่งมุ่งหมายใยเหมือนภาพเลือนราง
สัญญาร้างเหมือนไร้ใบสัญญา


โสภณ  เปียสนิท
39/3 เขาพิทักษ์ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระเซ็นสอนธรรม


ระเซ็นสอนธรรม

ศิษย์คนหนึ่งซึ้งธรรมนำมาคิด
แต่ยังติดความต่างธรรมบางข้อ
เห็นอาจารย์ใจดีไม่รีรอ
กลับมาขอฟังธรรมย้ำอีกครา

            พระอาจารย์ท่านคงจะสงสาร
ศิษย์ฟุ้งซ่านด้วยแรงแสวงหา
ท่านจึงตอบตามเหตุแห่งเมตตา
ปรารถนานำศิษย์คิดทางดี

            การหลงลืมบางอย่างยังมีค่า
จงกลับมาทบทวนให้ถ้วนถี่
เรื่องควรลืมหลายหลากเห็นมากมี
สมควรที่หยุดปลื้มลืมได้เลย

            “คำเขาด่า” เอ็งจงหลงลืมเถิด
ทำให้เกิดหงุดหงิดเจ้าศิษย์เอ๋ย
เพราะไร้ค่าอย่าวุ่นอย่าคุ้นเคย
จงวางเฉยอย่าช้าให้ชาชิน

            “คำนินทา” อย่าเอามาเฝ้าคิด
ฝึกดวงจิตไม่จำคำติฉิน
ใจเหมือนหลักปักแน่นเหนือเเผ่นดิน
อย่าถวิลนินทามาใส่ตน

            สองอย่างนี้มีค่าน่าลืมนัก
จงตระหนักลืมได้ไปทุกหน
ส่วนพระธรรมล้ำคุณอุ่นกมล
จงเป็นคนรู้ค่าอย่าลืมคำ


โสภณ  เปียสนิท
39/3 หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110

ชีวิตกับใบไม้

“ชีวิตกับใบไม้


            ชีวิตคิดไปให้ฉงน
สับสนวนเวียนเปลี่ยนผัน
ล่องลอยคล้อยตามคืนวัน
เหมือนฝันเหมือนจริงสิ่งลวง

            ชีวิตเปรียบเช่นต้นไม้
เติบใหญ่ในแดนแหนหวง
ดำรงอยู่ยั้งทั้งปวง
เลยล่วงห้วงกาลเวลา

            ฤดูกาลผ่านไปไม่หยุด
เร่งรุดเลยทางข้างหน้า
หนาวร้อนผ่อนปรนฝนมา
ยืนท้าแดดฉายสายลม

            ฝนแรกแตกใบระบัด
ยืนหยัดเคียงฟ้าผ้าห่ม
ยามร้อนก็พร้อมตรอมตรม
ทิ้งใบทับถมแผ่นดิน

            ทับถมเก็บงำความชื้น
ขมขื่นรอคราวหนาวสิ้น
รอฝนอีกครั้งหลั่งริน
ธรณินอุดมสมบูรณ์

            ชีวิตก็เป็นเช่นนี้
เกิดมีคงอยู่คู่สูญ
เจ็บปวดราวร้าวอาดูร
เสพสุขเกื้อกูลสลับกัน



โสภณ  เปียสนิท
39/3 เขาพิทักษ์ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110