บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โกงของบริจาค ช่วยน้ำท่วม ตรวจสอบด่วน




Sent: Thursday, November 17, 2011 2:31 PM
To: Rywin Voravongsatit; Suladda Tubtimtong; Chaiwiwat Phatthanaphichai; Namo Kapilakan; Dr Somsak Jitmongkolsuk; Oh online; nerujires@cpn.co.th; Giant; Ple Jariya Chirathivat; Napatr Svastixuto; Naruemol Patrawit; Somchart Jinanusorn; Panisara Jongsirikul; Thitiphum Bumrungthaichaichan; Wandee Tangsreewattanawong; Aree Chaisirirat
Subject: FW: จะยังคอรัปชั่นอีกมั๊ย - Sure, they will.



เรื่อง: จะยังคอรัปชั่นอีกมั๊ย





แชร์กันให้เยอะๆ ถ้ากระทู้ดัง พวกเขาจะไม่กล้าเอาเงินเข้าพวกเดียวกันเอง

รวมรายการความช่วยเหลือจากต่างชาติ ทำไมรัฐไม่บอกประชาชน

รวมรายการความช่วยเหลือจากต่างชาติ ทำไมรัฐไม่บอกประชาชน

จีน
จีนบริจาคเงิน 50 ล้านบาท เรือ 128 ลำ เครื่องกรองน้ำและถังบรรจุน้ำ ส่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงชลประทานนาย Liu Ning พร้อมเจ้าหน้าที่เทคนิคมาให้คำปรึกษา
บริจาคครั้งที่ เป็นเรือ 20 ลำ เครื่องกรองน้ำ 30 ชุด เสื้อชูชีพ 20,000 ตัว เต๊นท์ 1,300 หลัง ถุงทราย 8,000ถุง
บริจาคครั้งที่ เป็นเครื่องสูบน้ำ 20 เครื่อง
บริจาคครั้งที่ เป็นเรือ 165 ลำ เครื่องกรองน้ำ 120 ชิ้น ถุงทราย 26,000 ถุง ไฟฉายพลังงานแสงอาทิตย์5,008 อัน
บริจาคครั้งที่ จีนส่งความช่วยเหลือกู้ภัยน้ำท่วมไทยเพิ่มเติมอีก 150 ล้านบาท หลังจากที่ได้ส่งความช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่รัฐบาลไทยไปแล้วก่อนหน้านี้ 90 ล้านบาท พร้อมเรือขนาดใหญ่ 64 ลำ และเครื่องกรองน้ำดื่มจำนวนมาก
บริจาคครั้งที่ เครื่องสูบน้ำขนาดต่างๆ 200 เครื่อง

ญี่ปุ่น
บริจาคเงิน 12 ล้านบาท
บริจาคครั้งที่ เป็นสิ่งของมูลค่า 10 ล้านบาท ประกอบด้วยสุขาเคลื่อนที่ 240 หน่วย เครื่องยนต์เรือ 200เครื่อง เสื้อชูชีพ 450 ชุด พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ คณะ เพื่อสำรวจสถานการณ์ในพื้นที่เพื่อประกอบการพิจารณาความช่วยเหลือในการฟื้นฟูและป้องกันภัยในอนาคต
Honda บริจาคเงิน 112 ล้านบาท

อินโดนิเซีย
อินโดนิเซียบริจาคเงิน 95.5 ล้านบาท
EU (European Union) สหภาพยุโรป
บริจาคเงิน 60 ล้านบาท มอบให้สภากาชาดไทย

บาห์เรน
บาห์เรนบริจาคเงิน 60 ล้านบาท

มาเลเซีย
มาเลเซียบริจาคเงิน 30.9 ล้านบาท

ออสเตรเลีย
ออสเตรเลียบริจาคเงิน 16 ล้านบาท

เกาหลีใต้
เกาหลีใต้บริจาคเงิน ล้านบาท
บริจาคครั้งที่ เป็นถุงบรรจุทราย 100,000 ถุง
บริจาคครั้งนี้ เป็นเครื่องกรองน้ำขนาดใหญ่ที่ผลิตน้ำดื่มให้กับคน 3,000 คนได้

อินเดีย
อินเดียบริจาคเงิน ล้านบาท

เยอรมัน
รัฐบาลเยอรมันบริจาคเงิน 1.7 ล้านบาทเพื่อซื้อเรือกู้ภัยและสิ่งของบรรเทาทุกข์ มอบที่นอนและผ้าห่มให้ศูนย์พักพิง มธ.ศูนย์รังสิต
บริจาคครั้งที่ เป็นเงิน 4.2 ล้านบาทพร้อมส่งนักโบราณคดีเพื่อให้ความช่วยเหลือในการบูรณะโบราณสถานในอยุธยา

สหรัฐอเมริกา
สหรัฐบริจาค ล้านบาทให้กาชาดไทย เสนอส่งเฮลิคอปเตอร์เข้าช่วยเหลือ ส่ง C-130 พร้อมและสอบทรายและทีมช่วยเหลือด้านเทคนิคจาก USMC ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน USS George Washington เข้ามาลอยลำที่อ่าวไทยเพื่อเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือ

สิงคโปร์
สิงคโปร์บริจาคเงิน 2.4 ล้านบาท
องค์กร Mercy Relief จากสิงคโปร์มอบอาหาร 70,000 ถุง เรือกู้ภัย 12 ลำ
บริจาคครั้งที่ รัฐบาลสิงคโปร์บริจาคเต๊นท์ 150 หลัง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า 100 เครื่อง

นิวซีแลนด์
นิวซีแลนด์บริจาคเงิน 2.4 ล้านบาท
เดนมาร์ค เดนมาร์คบริจาคเงิน 1.6 ล้านบาท
ลาว
ลาวบริจาคเงิน 1.5 ล้านบาท

สวิสเซอร์แลนด์
สวิสเซอร์แลนด์บริจาคเงิน ล้านบาท
บริจาคครั้งที่ 2 เสนอบริจาคเงินเพิ่มเติม น้ำสะอาด และอาหาร รวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค โดยเฉพาะการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมหลังภัยพิบัติ และการจั
?ดการทรัพยากรน้ำ

อิสราเอล
อิสราเอลเสนอให้คำแนะนำการจัดการน้ำ
บริจาคครั้งที่ 2 เป็นอาหารแห้ง 300 ถุงและสิ่งของช่วยเหลือมูลค่า 3 แสนบาท

เนเธอร์แลนด์
เนเธอร์แลนด์ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมาช่วย

บังคลาเทศ
บริจาคเงินให้รัฐบาลไทย ชวยเหลือน้ำท่วม 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์
บริจาคเงินให้รัฐบาลไทย ช่วยเหลือน้ำท่วม 50 ล้านบาท
บริจาคเรือกู้ภัย 350 ลำ
ส่งความช่วยเห ลือลงพื้นที่ในนามมูลนิธิ 
Goodwill Foundation โดยองค์ประธานมูลนิธิ His Royal Highness Prince Mohammed bin Fahd Al Saud bin Mohammed bin Rashid Al Maktoum เสด็จมาช่วยผู้ประสบภัยด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนถึงกรุงเทพฯ

ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย
บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมผ่านรัฐบาลไทย 60 ล้านบาท น้ำดื่มจำนวน 1
,500,000 ขวด เครื่องกรองน้ำฆ่าเชื้อโรคพลังแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ 500 เครื่อง เต๊นท์ 1,500 หลัง เรือกู้ภัย 300 ลำ
พร้อมจะส่งความช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลดในภายหลังด้วย
UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (UN OCHA)
สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ 
UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (UN OCHA) เสนอความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เช่น การป ระสานความช่วยเหลือ การบริหารจัดการข้อมูลและรายงานต่างๆ การให้ข้อแนะนำเรื่องการฟื้นฟู และสังคมสงเคราะห์International Organization for Migration
International Organization for Migration ซึ่งเป็นองค์กรนานาชาติเพื่อการย้ายถิ่นฐานเสนอให้คำปรึกษาเรื่องการจัดตั้งศูนย์อพยพ และมอบของที่จำเป็นเช่น เรือ เครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกWorld Food Program
โครงการอาหารโลก (
World Food Program ) ส่งเจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำเรื่องการจัดการอาหาร ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย

คนไทยต่างแดน
กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับเงินบริจาค จากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก และชุมชนไทยในต่างประเทศ จำนวน 4 ล้านบาท

เหล่านี้คือ ความช่วยเหลือที่ต่างชาติส่งมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนคนไทยที่ประสบภัยน้ำท่วม ทำไมรัฐไม่บอกหรือชี้แจงให้ปชช.ทราบว่าได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศอย่างไร จำนวนเท่าไร.
??

ข่าวโดย : นสพ.แนวหน้า

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554



พุทธทำนายความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล (2)
โสภณ เปียสนิท
..............................................

          เย็นย่ำสนธยา ดวงตะวันลับยอดไม้ไปนานแล้ว สายลมหนาวที่บ้านสวนโสภณ โป่งแย้พัฒนาพัดผ่านหน้าบ้านลุงผ่อนจนฝุ่นปลิวเป็นครั้งคราว ลุงผ่อนขยับขาวม้าที่พาดไหล่มาห่อห่มร่างกาย ผมเองใส่เสื้อยืดแขนสั้นแม้รู้สึกหนาวเย็นแต่ยังพอทน  ควันไฟยังลอยเคว้งคว้างตามแรงลมโยกไปย้ายมาตามปกติ ข่าวคราวน้ำท่วมกรุงเทพฯ ดังแว่วมาจากวิทยุที่เปิดไว้หลังบ้าน เหมือนลุงให้ความสนใจข่าวสารบ้านเมืองเป็นระยะ

          เห็นลุงเงียบไปนาน จึงถามขึ้นขณะสายตามองแน่วนิ่งไปที่กองไฟ “แล้วข้อต่อไปเป็นอย่างไร” ลุงเหมือนอยู่ในภวังค์ เร่งรวบรวมความคิดให้กลับคืน “เอ..ถึงข้อไหนแล้ว” ลุงถามเอาแบบดื้อเพราะลืมว่าพูดไปถึงข้อไหน “ข้อ4 ครับลุง” ลุงยิ้มกว้าง ดีใจที่จับเรื่องราวได้แล้ว “ทรงสุบินว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไมได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย” “ใช้วัวตัวเล็กมันก็ลากไม่ไหวซิลุง” ผมนึกภาพเกวียนบรรทุกอ้อยของอินเดียที่บรรทุกอ้อยเสียเต็มท่วมหัวคนขับเกวียน “ลุงก็เห็นจริงอย่างเอ็งว่า” “แล้วพระพุทธองค์พยากรณ์ว่าอย่างไรครับ” “พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ในภายหน้า เมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่อง และ มอบหมายหน้าที่ให้กับผู้มีสติปัญญาความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี...”

นึกแล้วเห็นจริงตามพยากรณ์ ปีนี้2554 เลยกึ่งพุทธกาลมา 54 ปี บ้านเมืองของเรา มีเค้าลางของความเป็นจริงอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย ในความคิดของคุณผู้อ่านเห็นเป็นอย่างไร ช่างน่าพิจารณายิ่งนัก “เอ็งเห็นเป็นอย่างไร” ลุงถามโดยผมไม่ทันตั้งตัว “คือ...มันมีเค้าของความเป็นจริงอยู่เหมือนกันนาลุง” ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “ตรงข้ามกับลุงเลย” ลุงทำหน้าไม่เห็นด้วย “ยังไงครับ” ผมทำหน้าไม่รู้เรื่อง “ดูข่าวการปกครองตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ไปจนถึงระดับสูงสุด ทะเลาะกัน ฆ่ากันตาย เพราะขัดผลประโยชน์ แบ่งพรรคแบ่งพวก นี่มันตรงเป๊ะเชียวนาเอ็ง” สีหน้ามั่นใจ

“ต่อข้อ5 เลยดีกว่าครับลุง” ผมเห็นจริงตามลุงว่า แต่อยากฟังข้อต่อไปมากกว่า “พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองข้าง ฝูงชนเอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง” “ม้าสองปาก ไม่เคยเห็นนี่ครับ” “ข้าก็ไม่เคยเห็นเหมือนเอ็งว่านั่นแหละ แต่ได้ยินได้อ่านก็จากพระสูตรนี่แหละ” “แล้วคำพยากรณ์เล่าครับ” “พระองค์ทรงตอบว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือ ผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญคุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ” “ม้าสองปาก รับสินบนสองฝ่าย” ผมทบทวนเบาๆ คิดหาความเชื่อมโยง ลุงตอบมาทันที “ใช่ ม้ากินได้สองปาก คนที่อยู่ในวงการยุติธรรม รับเงินทั้งฝ่ายโจทย์และจำเลย” “อย่างนี้ก็ยุ่งซิลุง” “ก็ใช่นะซิ แล้วเอ็งเห็นว่าปัจจุบันเป็นไปตามนี้หรือไม่” ผมนิ่งคิด ไม่อยากตอบ ตามคติ “พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง” ทั้งที่ในใจคล้อยตามลุงไปหลายช่วงตัว


ลุงเห็นว่าผมครุ่นคิดนาน จึงกล่าวต่อ “ข้อที่ 6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพงไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้นถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น” ผมฟังแล้วตื่นเต้นสนใจยิ่งขึ้น เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาก่อนเลย ถาดทองภาชนะล้ำค่า หมาจิ้งจอกสัตว์เจ้าเล่ห์ในนิทานอีสป และ ปัสสาวะ ซึ่งเป็นกิริยาอาการที่ไม่สอดคล้องคู่ควรกับถาดทอง

“เล่าคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ต่อเลยครับ” ผมกระตือรือร้นสนใจต้องการฟัง “ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือ คนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และ คนมีตระกูลจะต้องยกลูกสาวให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น” เอาละซิ ยิ่งฟังยิ่งเข้ากับเหตุการณ์ ปัจจุบันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก “หมายถึงคนดี กับคนมีสกุลหรือครับ” “ใช่” ลุงตอบคำเดียว ยังไม่ตรงกับคำถามที่ผมอยากถาม “คนดีเป็นอย่างไร” ผมถามตามน้ำตามเรื่องที่ต้องการรู้ “เอ็งถามได้ดี” ลุงกล่าวชม ดวงตาสีสนิมเพ่งมองกองไฟ ร่องรอยเหี่ยวย่นบนผิวสีคล้ำเกลื่อนกล่น “คนดีต้องมีเกณฑ์ในการตัดสิน ต้องคิดทำทานเสมอ มากบ้างน้อยบ้างตามแต่จะพึงมี อย่าให้ตัวเองเดือดร้อน” “ทำทานอย่างเดียวหรือครับ ที่จะเป็นคนดี” ผมตั้งข้อสงสัย “ยังไม่พอหรอก ต้องรักษาศีลเป็นปกติอีกอย่างน้อย 5 ข้อ” “หมั่นทำทานรักษาศีล” ผมทบทวนในใจ “และต้องสวดมนต์ภาวนาอีกหน่อย คราวนี้แหละครบแล้ว” แวบหนึ่งของความคิด คำถามหลุดตามทันที “ทำทานข้อเดียวยังไม่เป็นคนดีหรือครับ” “เป็นคนดีซิ เป็นคนดีข้อเดียวไง” ลุงตอบแบบขำๆ จนผมอดยิ้มไม่ได้ แต่ก็ได้แนวคิดว่า “ต้องเป็นคนดีต่อให้ครบสามข้อ”

“เพิ่งจะหกข้อเองครับลุง” ลุงยิ้มแบบรู้ทัน “ข้อ 7. ทรงฝันว่ามีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่งนอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว” “อ้าว แล้วกัน อย่างนี้ฟั่นเชือกไป เชือกก็หมดไป” “ใช่ซี ลองคิดดูซิ เกี่ยวกับเรื่องอะไร” ลุงท้าทายให้ผมคิดไปข้างหน้า “ผมยังคิดไม่ออกครับ” ตอบหลังจากคิดแบบหวัดๆ ไปข้างหน้า ลุงเหมือนจะรู้ว่าผมไม่รู้เรื่องนี้แน่ จึงกล่าวต่อ “ทรงพยากรณ์ว่า ในกาลข้างหน้าผู้หญิงจะเหลาะแหละโลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วนำทรัพย์ที่สามีหามาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้...” “อย่างนี้คือเชือกที่ชายคนนั้นฟั่นแล้วหย่อนลงพื้น สุนัขกัดกินเชือกเส้นนั้น ฟั่นเท่าไรก็ไม่ยาวขึ้น” ผมพยายามทำความเข้าใจ ลุงพยักหน้าเห็นด้วย


                “ข้อต่อไปเล่าครับลุง” ผมจำข้อไม่ได้แล้ว ความจำหนอ ช่างไม่ยั่งยืนเสียเลย คงไม่เกี่ยวกับการอยู่บนโลกนี้มานานผ่านร้อนหนาวมาหลายหน “ข้อที่ 8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ทรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างเป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั่นเลย” เอาอีกแล้ว ช่างมีความแปลกเชิงปริศนาให้คิดอยู่เสมอ “ตักน้ำใส่ตุ่มเต็ม แต่ไม่ใส่ตุ่มว่าง” แกล้งทบทวนเรื่องตามคำของลุง ชักนึกอายลุงที่ไม่อาจเดาได้ว่า ปริศนานี้หมายถึงสิ่งใด

                ลุงเหมือนรู้ใจจึงกล่าวต่อโดยไม่ถามผมให้ขายหน้าอีก “ทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่มีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้วก็จะมีคนจนหารายได้ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น” “เข้าใจครับ ตักน้ำใส่แต่ตุ่มเต็มจนล้น” “หมายถึงอะไร” ลุงแกล้งถามให้ผมตอบเสียบ้าง “คนรวยยิ่งรวยมากขึ้น เพราะคนจนเอาเงินไปให้เขาเอง” “หมายถึงว่า คนที่ยากจนเอาเงินไปให้คนรวยเอง ทั้งที่มีคนยากจน เหมือนตุ่มว่างอยู่มากมายแต่ไม่เติม” ใจยังนึกสงสัยว่า จะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

                ลุงเล่าติดลมแล้วจึงเล่าต่อไปเรื่อย “ข้อที่ 9. พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระ ที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือเหยียบย่ำแทนที่จะใสกลับขุ่นข้น” “ช่างคิดช่างฝันจริงเชียวนะครับ” “แปลกดี เป็นปริศนาธรรม” ลุงมองว่าแปลกเหมือนผม “ที่จะขุ่นไม่ขุ่น แต่ไปขุ่นตรงที่ไม่ควรขุ่น” ผมพูดลอยๆ ตามความเข้าใจ

“คราวนี้ทรงพยากรณ์ว่าอย่างไรบ้างครับ” เป็นปริศนาธรรมที่ควรคิดอีกข้อหนึ่ง “พระองค์ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ว่า ต่อไปเมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสิบบน ชาวบ้านชาวเมืองจะหนีไปอยู่ตามชายแดน หรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้น ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น” “เรื่องนี้แปลกมาก คนจะหนีเมืองกรุงไปอยู่ชนบทแบบหลีกเร้น” “มันก็น่าจะจริงนะ” ลุงเชื่อตามคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ “เพราะอะไรครับ” ผมยังงุนงง “คนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ก่อความเดือดร้อน คนดีมีศีลธรรมเขาก็หนีซิ หลีกเร้นสู่ชนบทห่างไกล ที่ที่คนดีอยู่ไม่นานก็รุ่งเรืองร่มเย็น” ลุงให้เหตุผลจนผมคล้อยตาม

                “แต่ละข้อน่าศึกษานะครับ” ผมเกิดความรู้สึกว่า เป็นคำพยากรณ์ที่มีประโยชน์ เตือนใจคนในยุคกึ่งพุทธกาลได้บ้าง อย่างน้อยในกลุ่มคนที่มีอุปนิสัยในความดี “ใช่ ลุงค่อยๆ ศึกษาเรื่องนี้มานาน จนจำได้ และเข้าใจ” “แล้วข้อที่ 10 เป็นอย่างไรครับ” “ข้อที่10 พระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นโกศล ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุก” “คนบ้านผมที่เมืองกาญจน์เรียกว่าข้าวสามกษัตริย์” ลุงฟังแล้วหัวเราะเบาๆ “อะไรของเอ็ง 3 กษัตริย์” “คนหุงเก่งมากเลยครับ หุงข้าวแบบนี้ยาก” ลุงฟังแล้วส่ายหน้า ไม่เห็นด้วย แล้วกล่าวต่อ “พระพุทธองค์พยากรณ์ว่า ในอนาคตเมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง” เป็นอีกข้อที่ผมฟังแล้วเกิดคำถามว่า คนไม่อยู่ในศีลธรรม สัมพันธ์กับฤดูกาลผิดปกติได้อย่างไร ลุงกล่าวต่อเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร “จิตของคนคิดอย่างไรได้อย่างนั้น คนจำนวนมากคิดแง่ลบ ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยเรื่องผิดศีลธรรม ฤดูกาลก็เปลี่ยนไป” ความสงสัยของผมยังคงอบอวลอยู่ในบรรยากาศไม่น้อย


วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

sopon's lifeandwork: กฐินสำนักสงฆ์เขาหินเทิน 5 พย.2554

sopon's lifeandwork: กฐินสำนักสงฆ์เขาหินเทิน 5 พย.2554: กฐินสำนักสงฆ์เขาหินเทิน5พย.255 ทอดกฐินเป็นกาลทาน จำกัดเฉพาะหลังออกพรรษาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ใครรับเป็นเจ้าภาพแล้วควรเร่งดำเนินการใ...

sopon's lifeandwork: Staff of English Department RMUTR.KKW

sopon's lifeandwork: Staff of English Department RMUTR.KKW: Staff of English Department of Rajamangala University of Technology Rattankosin WangklaiKangWon Campus, Huahin, Prachuapkhirikhan Sho...

Staff of English Department RMUTR.KKW

Staff of English Department of 
Rajamangala University of Technology Rattankosin 
WangklaiKangWon Campus, Huahin, Prachuapkhirikhan




Should be made as calendar of the year 2012





































วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ข้อคิดคำเขียนเชิงปัญญาน่ารู้เรื่องน้ำท่วม

  

นำข้อมูลมาจากที่นี่
http://www.thaipost.net/news/051111/47632


 มีเรื่องอยากคุย-อยากเล่า-อยากบอกเยอะ มนุษย์ด้วยกันจะได้เตรียมตัว-เตรียมใจกันทัน เพราะนี่มันก็ใกล้เวลา "นรก-สวรรค์" กำหนดเข้ามาทุกทีแล้ว เผอิญมีผู้ส่งข้อเขียน "ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต" ใน FB มาให้อ่าน ประจวบกับระยะนี้ขบวนการ "ไพร่จัณฑาล" สร้างข่าว โดยใช้ "ชื่อเขื่อนใหญ่ ๒ แห่ง" เป็นแพะ หวังให้ชาวบ้านที่พวกเขาหลอกใช้หลงเชื่อ "เป็นตัวการ" ปล่อยน้ำให้ท่วม หวังทำลายรัฐบาล "น้องสาวทักษิณ"


    อารยชนทั้งหลายฟังแล้วก็เศร้าใจ กับอนันตริยกรรมที่เขาเหล่านั้นสร้างขึ้น เรียกว่าเลวทรามหยาบช้า สุดที่อภัยฟ้า-อภัยดิน จะมีให้ได้!

    ผมก็เห็นข้อเขียน ดร.พิชายนี้ "ทำความจริงประจักษ์" ได้ดี ไม่ใช่การตอบโต้ ไม่ใช่การแก้ต่างคำป้ายสีพวกไพร่จันฑาลนั้น หากแต่ทรงศักดิ์แห่งตน ด้วยการลำดับความเชิงวิเคราะห์บน "ข้อมูลประจักษ์" ให้รับรู้-รับทราบ เพื่อการเข้าใจที่ถูกต้องตามเป็นจริง ผมขออนุญาตนำเผยแพร่ ดังนี้
เกมอำนาจกับการจัดการน้ำ


ปัญญาพลวัตร โดย...ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต


    ในสังคมใด เมื่อมนุษย์ผู้ใดกลุ่มใดโชคดีมีอำนาจขึ้นมา แต่ขาดภูมิปัญญา ใช้อำนาจไม่เป็นและใช้ไปอย่างผิดทาง ก็จะสร้างความหายนะแก่สังคม และท้ายที่สุดอำนาจก็จะหวนกลับมาทำลายตนเอง ดังที่กำลังเกิดขึ้นกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 


    ขณะที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีฝึกงาน กำลังสาละวนและละล้าละลังในการจัดการกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอ ก็หมกมุ่นกับการช่วงชิงอำนาจกับฝ่ายทหาร โดยด้านหนึ่งวิพากษ์ทหารว่าเสพติดอำนาจ และอีกด้านหนึ่งก็สนับสนุนให้ ส.ส.ในสังกัดดำเนินการแก้ พ.ร.บ. กลาโหม เพื่อช่วงชิงอำนาจในการแต่งตั้งนายทหารระดับสูง จากเดิมที่อยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการ ให้มาอยู่ภายใต้นักการเมือง


    ด้วยความที่หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาแนวทางและวิธีการที่จะช่วยเหลือพี่ชายให้กลับสู่ประเทศไทยโดยปราศจากความผิด ความอ่อนหัดไร้ประสบการณ์การบริหารราชการแผ่นดิน ความจำกัดของความรอบรู้ในปัญหาและระบบงานราชการ ส่งผลให้การตัดสินใจในการแก้ปัญหาของ "ผู้นำจำเป็น” ของประเทศไทย เกิดความล่าช้าและผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการใช้อำนาจก็เป็นไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ และไร้ทิศทาง


    ปัญหาวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปัจจุบัน ได้แสดงตัวออกมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน และปรากฏอย่างชัดเจนในเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา พายุหลายลูกที่พัดผ่านประเทศไทยตอนบนก่อให้เกิดปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปีก่อนๆ ทำให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ต้องประสบกับชะตากรรมอันเลวร้ายของการถูกน้ำท่วม ตามมาตรฐานของหลักการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนต่างๆ เมื่อน้ำไหลเข้าเขื่อนจำนวนมากก็ต้องเพิ่มปริมาณการระบายน้ำออกมา แต่ในครั้งนี้หลักการดังกล่าวกลับเกิดขึ้นอย่างล่าช้าเพราะมี "อำนาจ” บางอย่างสั่งให้เจ้าหน้าที่เขื่อนกักน้ำไว้ก่อน และกำหนดให้ระบายน้ำออกมาราวกับว่าเป็นสถานการณ์ปกติ จนกระทั่งถึงจุดที่ใกล้วิกฤติของเขื่อน จึงได้มีการเพิ่มปริมาณการระบายน้ำออกจากเขื่อน อำนาจที่ว่านั้นมิใช่อำนาจลึกลับใดๆ แต่เป็นอำนาจซึ่งดำรงอยู่ในคณะรัฐมนตรีนั่นแหละ


    เหตุผลที่มีการสั่งกักน้ำไว้ก่อน หากมองในแง่บวกก็คือ เป็นเจตนาดีที่ไม่ต้องการให้มี "มวลน้ำ" ไหลลงสู่แม่น้ำในปริมาณที่มาก น้ำจะได้ไม่ท่วม แล้วค่อยๆ ทยอยเพิ่มปริมาณการระบายน้ำในภายหลัง แต่เจตนาดีเหล่านี้ย่อมมีแรงจูงใจอยู่เบื้องหลัง นั่นก็คือการรักษาคะแนนนิยมในกลุ่มประชาชนภาคเหนืออันเป็นฐานเสียงของรัฐบาล และในท้ายที่สุด กลับทำให้เกิดมหาอุทกภัยซึ่งสร้างความหายนะแก่ประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์


    ความแปลกประหลาดของการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในครั้งนี้ มีร่องรอยให้สืบสาวจากข้อมูลที่ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพลสัมภาษณ์เอาไว้ นายบุญอินทร์ ชื่นชวลิต ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพลระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 ถึงเดือนกันยายน 2554 มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนเฉลี่ย 1,000 ล้าน ลบ.ม.ต่อเดือน รวมห้าเดือนมีน้ำเข้าไปอยู่ในเขื่อนภูมิพลประมาณ 5,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ในช่วงห้าเดือนนั้นเขื่อนระบายน้ำออกมาเพียงเดือนละ 100 กว่าล้าน ลบ.ม.เท่านั้น รวมห้าเดือนก็ระบายออกประมาณ 500 ลบ. ม. หรือมีน้ำเข้าเขื่อนมากกว่าน้ำที่ระบายออกมาถึงประมาณ 10 เท่า


    ปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาในช่วง 5 เดือน เฉลี่ยประมาณแค่ 5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวันเท่านั้น แต่ในเดือนตุลาคมได้มีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยในช่วง 1-4 ตุลาคม เพิ่มเป็น 40-60 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ต่อมาระหว่างวันที่ 5-11 ตุลาคม เพิ่มเป็น 100 กว่าล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และในช่วง 12-19 ตุลาคม ลดลงเหลือประมาณ 50-80 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน รวมอย่างคร่าวๆ น้ำในเขื่อนภูมิพลที่ระบายออกมาเฉพาะ 16 วันของเดือนตุลาคม มีประมาณ 1,200 ล้าน ลบ.ม. หรือประมาณ 2 เท่ากว่าของช่วงห้าเดือน (150 วัน) ซึ่งปล่อยออกมาเพียงประมาณ 500 ล้าน ลบ.ม.


    สำหรับพายุที่เข้าประเทศไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมมี 2 ลูก คือปลายเดือนมิถุนายนมีพายุไหหม่า ต่อมาในปลายเดือนกรกฎาคมก็เกิดพายุนกเตน พายุสองลูกนี้นำน้ำจำนวนมหาศาลเข้าประเทศไทย แต่ที่น่าประหลาดใจคือ การปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลก็ยังปล่อยเท่าๆ กับเดือนพฤษภาคม

 
    เป็นไปได้ว่า ระหว่างนั้นนักการเมืองผู้ทรงอำนาจทั้งหลายคงไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลจัดการปัญหาเรื่องน้ำในเขื่อน เพราะมัวแต่แข่งขันเลือกตั้งช่วงชิงอำนาจ แม้ว่าน้ำได้ท่วมในบางพื้นที่บางจังหวัดแล้ว สิ่งที่นักการเมืองทำก็คือ การฉวยโอกาสอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนเป็นแหล่งในการหาเสียงสร้างคะแนนนิยมเท่านั้น ไม่มีการเตรียมการใดที่จะรับมือกับมหันตภัยที่กำลังคุกคามอยู่แม้แต่น้อย


    รัฐบาลใหม่ของคุณยิ่งลักษณ์ตั้งขึ้นมาต้นเดือนสิงหาคม ปัญหาเรื่องน้ำก็ยังเป็นเรื่องเล็กสำหรับรัฐบาล ส่วนปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือ การหาทางในการช่วยเหลือทักษิณ ชินวัตร ให้กลับเข้ามาในประเทศไทยโดยปราศจากความผิดติดตัว การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อกระชับอำนาจให้แข็งแกร่ง การเจรจาและจัดงานบันเทิงเฉลิมฉลองเตะฟุตบอลร่วมกับผู้นำประเทศกัมพูชา การสนับสนุนข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ การช่วยเหลือเยียวยาสาวกของเสื้อแดง การพยายามแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม และการหาแนวทางต่างๆ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้


    สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องปัญหาน้ำท่วมก็มีบ้าง เช่น การรับบริจาค การออกไปเยี่ยมเอาของไปแจกผู้ประสบภัยบางคนบางพื้นที่ เพื่อสร้างภาพเป็นนายกฯ นางงามแจกของ แต่ยังไม่เห็นความตระหนักในการแก้ปัญหา และการคิดอย่างเป็นระบบเชิงบูรณาการเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วมแม้แต่น้อย เราจึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนอื่นๆ ทั้งที่เขื่อนเหล่านั้นมีน้ำเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมหาศาลจากพายุทั้งสองลูกที่เข้ามา


    ต่อมาในปลายเดือนกันยายน พายุก็ได้เข้ามาประเทศไทยอีก 2 ลูกคือ ไห่ถาง กับเนสาด และต้นเดือนตุลาคม พายุนาลแกก็พัดเข้ามา พายุทั้งสามทำให้ฝนตกหนักและน้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้าเขื่อน จากการที่เขื่อนปล่อยน้ำน้อยก่อนหน้านั้น ทำให้ความสามารถในการรับน้ำใหม่ที่เข้ามามีต่ำลง เขื่อนจึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการปล่อยน้ำอย่างมหาศาลตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา 


    ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ยังคงสับสนและมะงุมมะงาหราอยู่ ทำอะไรไม่ถูกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ และเพิ่งมาคิดจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ขึ้นมา โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัย และประกาศแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำเป็นหลัก


    การตั้งชื่อและกำหนดหน้าที่ของ ศปภ.ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลมีวิธีคิดในการแก้ปัญหาอุทกภัยแบบเสี่ยงและมีแนวทางในเชิงการตั้งรับ คือคิดเพียงแต่ว่าเมื่อน้ำท่วมแล้วจะช่วยอย่างไร ฟื้นฟูอย่างไร รวมทั้งแค่แจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำเท่านั้น โดยไม่ได้คิดถึงว่าจะจัดการหรือควบคุมมวลน้ำจำนวนมหาศาลอย่างไร เพื่อบรรเทาความรุนแรงและลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วม การทำงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบใน ศปภ.สะท้อนถึงตัวตนที่อ่อนหัด ทำงานไม่เป็นในการรับมือและแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น


    ในความคิดของผม หลักการสำคัญของการจัดการมวลน้ำที่ท่วมขังมีอยู่ 3 ประการ คือ การผลักดันมวลน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การควบคุมน้ำให้อยู่ในพื้นที่ซึ่งสร้างผลกระทบน้อยที่สุดไว้ชั่วคราว และการป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่สำคัญ การจะดำเนินการตามหลักการทั้งสามนั้น อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนบางกลุ่ม และอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นมาได้ ดังนั้น การใช้อำนาจตามปกติจึงไม่สามารถจัดการตามหลักการทั้งสามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อการจัดการขาดประสิทธิภาพ สิ่งที่ตามมาก็คือ คะแนนนิยมรัฐบาลลดลงเรื่อยๆ ขณะที่กองทัพกลับได้รับคะแนนนิยมเพิ่มเติมจากการลงไปช่วยเหลือประชาชนทุกรูปแบบ ทั้งการป้องกันไม่ให้น้ำท่วมในบางพื้นที่ และการช่วยเหลืออื่นๆ แก่ผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่แล้ว แม้ว่ากองทัพจะเป็นกลไกของรัฐ แต่เป็นกลไกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และแกนนำเสื้อแดงมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก มีความระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าทหารจะทำรัฐประหาร 


    ดังนั้นเมื่อทหารมีคะแนนเพิ่มขึ้น ก็สร้างความหวั่นวิตกแก่ทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล เป็นเหตุให้เขาต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ทำลายความน่าเชื่อถือของทหารโดยระบุว่า "ทหารเสพติดอำนาจ” และต่างชาติไม่ยอมรับการรัฐประหาร ทั้งที่ผู้เสพติดอำนาจอย่างโงหัวไม่ขึ้น ทำลายหลักประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาลมากที่สุดคนหนึ่ง ก็คือตัวทักษิณเองนั่นแหละ การเดินเกมเพื่อช่วงชิงอำนาจในการแต่งตั้งนายทหารระดับสูง จึงกลายเป็นเกมสำคัญของทักษิณ หากเขาชนะในเกมนี้ ทักษิณก็จะควบคุมการแต่งตั้งโยกย้ายทหารได้ทั้งหมดผ่านน้องสาวที่เป็นหุ่นเชิดของเขา แต่ความฝันของเขาอาจเป็นฝันสลาย เพราะอาจถูกพลังอันมหาศาลของสายน้ำทำลายลงไป ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ 


    ความจริงเรื่องน้ำอยากให้ทุกท่านทราบ และช่วยกันโพสต์ต่อไป เอาเฉพาะลิงก์ก็ได้
    วันที่ 24 มิ.ย. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 7,500 ล้านลูกบาศก์เมตร    
    วันที่ 22 ก.ค. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 8,000 ล้านลูกบาศก์เมตร    
    วันที่ 19 ส.ค. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 9,800 ล้านลูกบาศก์เมตร
    วันที่ 2 ก.ย. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 10,600 ล้านลูกบาศก์เมตร
    วันที่ 14 ต.ค. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 14,000 ล้านลูกบาศก์เมตร


    แสดงว่ารัฐบาลชุดก่อนไม่ได้สั่งเก็บ และไม่มีทางที่จะสั่งปล่อยได้ ปัญหาคือ รัฐบาลชุดนี้รู้ว่าน้ำมากและพายุจะเข้าแต่ไม่พร่องน้ำออกมา 


    ข้อมูลดิบ (ตามที่แนบ file) ท่านสามารถดูได้ที่ water.egat.co.th/old-web/sumdam-rep/dam-bb/graph-bb.htm
    ครับ...นี่คือบทวิเคราะห์ด้วย "ข้อมูลประจักษ์" ด้านหนึ่งของ ดร.พิชาย ก็ยังมีบทวิเคราะห์ด้วย "หลักฐานประจักษ์" จากอีกหลายๆ ท่านที่ผมอ่านพบ แล้วจะค่อยๆ นำน้ำขาวมาไล่น้ำครำ.

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กฐินสำนักสงฆ์เขาหินเทิน 5 พย.2554


กฐินสำนักสงฆ์เขาหินเทิน5พย.255

ทอดกฐินเป็นกาลทาน จำกัดเฉพาะหลังออกพรรษาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ใครรับเป็นเจ้าภาพแล้วควรเร่งดำเนินการให้สอดคล้องกับพุทธานุญาต



"เจ้าภาพหลักฐกฐินปี2554 ติดน้ำท่วมใน กทม. มาไม่ได้"

งานทอดกฐินสามัคคี ณ สำนักสงฆ์เขาหินเทิน (5พฤศจิกายน 2554) มีเจ้าภาพหลัก และเจ้าภาพหลายรายติดขัดปัญหา "น้ำท่วม" ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้ เจ้าภาพกลุ่มหนึ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯได้ แต่บอกว่า ออกทางถนนพระราม2 ส่วนถนนเพชรเกษม จมน้ำแล้ว


8.00 น. ถวายภัตตาหารภิกษุสามเณรราว 20 รูป/องค์ บรรดาญาติโยมรับประทานอาหารที่ศาลาหลังล่าง และดำเนินการจัดเก็บล้างถ้วยชามจานช้อน ทำความสะอาดพื้นศาลา

10.00 น. เริ่มพิธีกรรมทอดกฐิน ทุกคนพร้อมบนศาลาหลังบน 

  • เริ่มพิธีไหว้พระบูชาพระ
  • อาราะนาศีลรับศีล
  • กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
  • กล่าวคำถวาย
  • คณะสงฆ์ทำพิธี
  • รับพรจากคณะสงฆ์
  • แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล

ช่วยเก็บงานดูความเรียบร้อย ก่อนเดินทางกลับบ้าน ญาติธรรมหนึ่ีงรายชวนเข้าร่วมงานทอดกฐิน "สำนักสงฆ์เย็นสุดใจ" ในวันอาทิตย์ที่6 พฤศจิกายน 2554 เวลา 9.00 น.


ประวัติของกฐินนั้นมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป มีความประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทะเจ้า ณ เมืองสาวัตถี จึงพากันเดินทางจากเมืองปาฐาไปสาวัตถี แต่พอไปถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ในระยะทางอีก ๖ โยชน์จะถึงสาวัตถี ก็เผอิญถึงวันเข้าพรรษาภิกษุเหล่านั้นจะเดินทางต่อไปไม่ได้ จึงจำพรรษาอยู่ในเมืองสาเกต ในระหว่างจำพรรษามีความร้อนรนอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยเร็ว พอออกพรรษาก็ออกเดินทางจากเมืองสาเกต ในเวลานั้นฝนยังตกมากอยู่ ทางเดินก็เป็นโคลนตมเปรอะเปื้อน เมื่อมาถึงเมืองสาวัตถีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบความลำบากของพระภิกษุเหล่านั้น จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุทำพิธีกรานกฐิน ในระยะเวลาภายหลังวันออกพรรษาแล้วไป ๑ เดือน ภิกษุที่ได้ทำพิธีกรานกฐินแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือความยกเว้นในการผิดวินัย ๕ ประการ เป็นเวลา ๔ เดือน (หมดเขตในวันเพ็ญเดือนสี่) อานิสงส์หรือความยกเว้นทั้ง ๕ ประการนั้น คือ



๑. เข้าบ้านได้โดยไม่ต้องลาภิกษุด้วยกัน
๒. เดินทางโดยไม่ต้องเอาไตรจีวรไปด้วย
๓. ฉันอาหารโดยล้อมวงกันได้
๔. เก็บอาหารที่ยังไม่ต้องการใช้ ไว้ได้
๕. ลาภที่เกิดขึ้น ให้เป็นของภิกษุผู้จำพรรษาในวัดนั้น ซึ่งได้กรานกฐินแล้ว








วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใครบริหารน้ำผิดพลาด ฟ้องประชาชน

ใครบริหารน้ำผิดพลาด ฟ้องประชาชน
ขอให้ทุกคนดูกันเพื่อความรู้
กันนักการเมืองหลอกลวงประชาชน

โพสต์ทูเดย์ชี้แกนนำรัฐบาล-ส.ส.เพื่อไทยพยายามหาแพะน้ำท่วมใหญ่ ไล่ตั้งแต่ภัยธรรมชาติ กฟผ. กรมชลประทาน พุ่งเป้า “ธีระ-บรรหาร” ปกปิดข้อมูล ส่วน “สุขุมพันธุ์” เจอข้อกล่าวหาขวางไม่ให้น้ำไหลลงทะเล “จตุพร” ปราศรัยโทษ ปชป.-ทหารกักน้ำจนต้องตอบโต้ เชื่อสุดท้ายเป็นบูเมอแรงกลับมาทิ่มรัฐบาล เผยตารางลำดับเวลาชี้ชัด “รบ.ปู” บริหารพลาด-พายุซ้ำ ทำให้น้ำเต็มเขื่อน


http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000140261



วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมกรุงเทพฯกับพุทธทำนาย




น้ำท่วมกรุงเทพฯกับพุทธทำนาย
โสภณ เปียสนิท
..............................................

          ตุลาคม 2554 ข่าวน้ำท่วมประเทศไทยอยู่บนสื่อทุกประเภท เหมือนเป็นกระแสอันเชี่ยวกราก ที่กำลังไหลหลั่งจากเมืองเหนือ เช่นเมืองเชียงใหม่ ไหลมาลำปาง กำแพงเพชร นครสวรรค์ สิงห์บุรี ชัยนาท อยุธยา สุพรรณ ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ ท่วมทับทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนที่คนสร้างขึ้น หรือสิ่งกีดขวางที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ น้ำไม่มีชีวิต ไม่มีความเมตตากรุณาในความรู้สึก คนสัตว์สิ่งของ เรือกสวนไร่นา บางส่วนจมอยู่ใต้ผิวน้ำอันเย็นเฉียบ บางส่วนลอยเท้งเต้งไปตามกระแสน้ำ โดยไม่มีใครรู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด

                คำนึงถึงความทุกยากของส่ำสัตว์ที่มีมากอยู่ก่อนแล้ว น้ำท่วมจึงเพิ่มทุกข์อันไม่มีประมาณให้แก่ทุกชีวิต ชีวิตของผมและครอบครัวเล็กๆ วนเวียนอยู่บนแผ่นดิน เหมือนภัสมธุลีปลิวโปรยติดแน่นบนผิวโลกอันมีชื่อเรียกว่าว่าประเทศไทย ขณะที่เพื่อนร่วมประเทศ และร่วมโลกหลายแห่งประสบชะตากรรมน้ำท่วม เราอาศัยบนชั้นสอง ของอาคารราชการ 4 ชั้น แบบสงบสุขตามควรแก่อัตภาพ ส่งกระแสจิตแห่งความเมตตา และอามิสสิ่งของอันจำเป็นแด่ผองเพื่อนวันต่อวัน ตามกำลัง โชคดีที่หัวหินปีนี้ น้ำไม่ท่วม เพราะมีฝนน้อยถึงปานกลาง วันก่อนกลับไปเยี่ยมแม่ที่เมืองกาญจน์ แม่บอกว่า ฝนตกไม่มากนัก คงไม่ท่วมหรอก

                วันหยุดนี้ผมเดินทางไป “บ้านสวนโสภณ” บ้านน้อยในป่าปลูกที่หมู่บ้านโป่งแย้พัฒนา เพื่อค้างแรมคืนดูบ้าง หัวค่ำมีโอกาสพบเพื่อนบ้านใกล้เคียงจึงสนทนาเพื่อเพิ่มสัมพันธไมตรีอันดีของชุมชน ตามวิถีประชาที่ชาวชนบทดำเนินกันมาเนิ่นนาน “ลุงผ่อน” ย้ายบ้านมาจากจังหวัดเพชรบุรี มาอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านสวนโสภณนานกว่า 20 ปี เดินผ่านบ้านลุง ลุงเรียกกินข้าวค่ำด้วยกัน ผมยิ้มให้พร้อมปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ด้วยเหตุผลอันหนาแน่นป้องกันลุงเข้าใจผิด ลุงชวนคุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าปลูกป่าเลี้ยงสัตว์อย่างน่าสนใจ เป็นอันว่าผมตกหลุมการสนทนาเข้าจนได้


                คิดว่าการสนทนาเรื่องเกษตรกรเป็นเรื่องน่าสนใจที่สุดสำหรับวันนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า มีเรื่องอื่นที่น่าสนใจยิ่งกว่า เมื่อผมปรารภว่าคนเราสมัยนี้เหมือนว่าจิตใจต่ำลง ลุงผ่อนมีท่าทีกระตือรือร้นสนใจอยากพูดคุย “ลุงสังเกตเรื่องนี้มานานแล้ว มันต้องเป็นไปตามพุทธทำนายแน่นอน” คำของลุงกระตุ้นความสนใจของผมขึ้นมาบ้าง “หมายความว่าลุงรู้ว่าพระพุทธองค์เคยพยากรณ์เรื่องโลกมาแล้ว” ผมถามเพราะความอยากรู้มิใช่ต้องการลองภูมิ เหมือนลุงจะรอให้ถามอยู่แล้ว “ใช่ซิ มีอยู่ในคัมภีร์เทียวนา” ลุงยืนยันทำหน้าขึงขัง “หรือครับ เรื่องเป็นมาอย่างไรครับ” ผมพลอยตื่นเต้นไปด้วย

                ลุงผ่อนยิ้มแย้ม เพราะเห็นว่าผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ “อยู่ในคัมภีร์พระสุตันตปิฏก ตอนที่พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งแคว้นโกศล ทรงพระสุบินมากถึง 16 ข้อ โดยมีเนื้อเรื่องติดต่อเกี่ยวเนื่องกัน” ลุงเริ่มต้นอย่างน่าสนใจ “แสดงว่าพระราชาก็ฝันเป็นเหมือนชาวบ้าน” “อ้าว....พระราชาก็คนเหมือนเรานี่” ลุงพูดไปหัวเราะไป “ดีเลยครับลุง ผมอยากรู้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย” ลุงขยับผ้าขาวม้าโบกไล่ยุงก่อนจะร้องเรียกหลานให้ก่อกองไฟใกล้ที่นั่งสนทนา เห็นภาพเด็กวิ่งเล่นหน้าบ้าน มีควันจากกองไฟไล่แมลงยามบ่ายจัดเช่นนี้ พาความคิดของย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์สมัยวิ่งเล่นหน้าบ้านริมแม่น้ำแควกาญจนบุรี เนิ่นนานแล้ว

                “พระองค์ฝัน เอ้ย ทรงสุบินแล้ว นำมาเล่าให้โหราจารย์พฤฒาเฒ่าฟัง ผู้เฒ่าเหล่านั้นพยากรณ์ว่า เป็นลางร้ายของแผ่นดิน เมื่อพระองค์สอบถามเรื่องการแก้ไข ได้รับคำตอบว่า ให้ทำพิธีบูชามหายัญ” “บูชายัญ” ผมพยายามปรับให้คำพูดของลุงถูกต้องยิ่งขึ้น ลุงแย้งกลับอย่างรวดเร็ว “มหายัญนั่นถูกต้องแล้ว เพราะพระราชาทำทั้งทีต้องยิ่งใหญ่หน่อย” “จริงของลุง พระราชาคงไม่ทำแบบชาวบ้านธรรมดาแน่” ผมแค่นึกในใจโดยไม่ได้กล่าวต่อประเด็นนี้ “แล้วต้องทำอย่างไรครับ มหายัญ” “ก็ต้องฆ่าสัตว์อย่างละ 500 นั่นแหละ ไล่จากสัตว์เล็กไปหาสัตว์ใหญ่นานาชนิด ยิ่งฆ่าสัตว์มากยิ่งได้บุญมาก สามารถปรับเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน”

                ฟังคำของลุงแล้วความคิดเคลือบแคลงรู้สึกว่าขัดแย้งกับหลักของพุทธศาสนาที่ห้ามฆ่าและรังแกผู้อื่น ไม่ว่าคนหรือสัตว์ “แล้วเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองได้จริงหรือเปล่าครับ” อยากนำมาใช้ในการเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองของเราบ้าง หากแก้ไขได้จริง “เป็นความเชื่อของพราหมณ์เขา ไม่ใช่ความเชื่อแนวพุทธของเรา” ลุงแสดงภูมิพระพุทธศาสนาอย่างดี “แล้วแบบพุทธเชื่ออย่างไรครับ” ผมอดถามไม่ได้ เพราะต้องการให้ลุงได้แสดงความคิดเห็น “แบบพุทธต้องไม่ฆ่า ไม่รังแกสัตว์ แม้ตนเองก็ห้ามไม่ไห้รังแก แถมยังต้องมีเมตตาประกอบด้วย” ลุงกล่าวหลักการอย่างหนักแน่น เชื่อมั่นเต็มหัวใจ “แสดงว่าการฆ่าสัตว์บูชายัญไม่ใช่เส้นทางแห่งบุญ” ผมพยายามทบทวนเพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น “ผิดจากหลักการของพุทธ”

                “สรุปว่า โหราจารย์ทั้งหลายเสนอให้พระเจ้าปเสนทิโกศลฆ่าสัตว์บูชายัญ แล้วพระองค์ทำอย่างไรครับ” ผมสรุปให้ลุง อยากฟังเรื่องต่อไป “เรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงพระนางมัลลิกาเทวี” “ใครครับพระนางองค์นี้” “อ่อ อนุมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล” ผมนิ่งคิดสักครู่ “เจ้าจอมหรือครับ” “ใช่ พระเทวีองค์นี้เป็นพุทธมามกะ นับถือพระพุทธองค์ เห็นว่าพระราชาอาจสร้างกรรมหนัก หากปฏิบัติตามคำของโหราจารย์ทั้งหลายจึงถวายคำแนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อสอบถามปัญหานี้ต่อหน้าพระพักตร์” ลุงเล่าไปใช้คำราชาศัพท์อย่างถูกต้องจนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดลุงอยู่ในชนบทห่างไกลจึงใช้คำราชาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง “ลุงจำคำราชาศัพท์ได้เก่งจังครับ” ลุงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สักครู่จึงตอบว่า “ลุงเป็นพระเอกลิเกเก่ามานานกว่า 20 ปี” “อ๋อ เล่นลิเกก็ดีอย่างนี้นี่เอง” สรรพวิทยาการต่างๆ ล้วนมีค่า หากว่าเรารู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

                 “พระเจ้าอะไรนะลุง” ผมจำชื่อพระราชาไม่ได้ “ปเสนทิโกศล” ลุงตอบแบบไม่ต้องคิด “ใช่ครับ แหม ติดอยู่ที่ริมฝีปากนี่เอง” ผมกล่าวแก้เก้อที่ความจำสู้คนแก่ไม่ได้ “อ้าว อย่างนั้นหรือ มองไม่เห็นเลย เห็นแต่หนวดติดริมฝีปาก” ลุงว่าเข้านั่น ทำหน้าล่อเล่นเห็นอารมณ์ขัน “พระองค์ไปพบพระพุทธองค์หรือเปล่าครับ” ผมถามเข้าเรื่อง “ไปซี เพราะพระองค์มีพระทัยชื่นชมพระนางมัลลิกาเป็นพิเศษอยู่ก่อนแล้ว” ลุงอ้างเอาความรักความพอใจส่วนพระองค์เป็นเหตุผลประกอบ “เรื่องเป็นอย่างไรต่อครับ” ผมเริ่มใจร้อน ขณะควันจากกองไฟเปลือกมะพร้าวถูกลมหอบมาทางวงสนทนา เด็กๆ หลายคนนั่งเล่นบนที่นั่งใต้ต้นมะยมอีกมุมหนึ่งของบ้าน

                “พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่วัดพระเชตะวันมหาวิหาร ตามที่พระนางมัลลิกาถวายคำแนะนำ” “ได้พบพระพุทธองค์หรือเปล่าครับ” “พบซิ จึงเล่าถึงพระสุบินนิมิตแปลกๆ ให้พระพุทธองค์ทรงสดับทีละข้อ” ชักจะถึงตอนสำคัญ ลุงอ้อมไปอ้อมมาจนผมอยากรู้มากขึ้น “คืออย่างไรบ้างครับลุง” “เอ็งตั้งใจฟังให้ดี ปัจจุบันคนรู้เรื่องนี้มีน้อย” เหมือนลุงจะเกรงว่าผมอาจให้ความสำคัญน้อยเกิน “เพราะเหตุใดครับ” “มีคนส่วนน้อย ที่สนใจเรื่องราวทางศาสนา” “งั้นลุงเล่าต่อเลย ผมจะได้จำ” “เออนะ ไม่ต้องเร่ง ได้ฟังแน่” ลุงวาดลวดลายเสียจนผมงง

                “พระเจ้าปเสนทิโกศลสุบินในข้อที่ 1 ว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว พากันวิ่งจาก 4 ทิศมาสู่ท้องพระลานหลวง ฝูงชนต่างรอดูโคทั้งสี่ที่ส่งเสียงคำรามลั่นเหมือนจะชนกัน แต่แล้วต่างก็ถอยออกไปไม่ชนกัน” สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำนายว่าในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น...” “แล้วที่ว่าโคส่งเสียงคำรามนั่นเล่าครับ” “จะมีเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า แต่ฝนฟ้าไม่ตก เหมือนโคที่ร้องคำราม แต่ว่าไม่ชนกัน”

ลุงเล่าเรื่องทำหน้าตื่นเต้น ใจหนึ่งก็คิดว่า เรื่องเหล่านี้มีอยู่จริงในคัมภีร์หรือไม่ หรือว่าลุงไปจำเรื่องเล่าของคนโบราณ ที่เล่าสืบต่อกันมา “แล้วข้อที่2 เล่าครับ” ผมถามเรื่อยในยามที่ลุงหยุด “สุบินว่าต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ออกดอกออกผลแล้ว” สมเด็จพระประทีปแก้ว ทรงทำนายว่าต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว” เรื่องแบบนี้ถ้าเขียนไว้ในสมัยไม่นานมานี้ก็ไม่น่าอัศจรรย์ใจ แต่หากบันทึกไว้เกือบ 2500 ปีที่ผ่านมา ถือว่าน่านับถือ

ลุงหยุดเล่า ใช่ผ้าขาวม้าโบกสะบัดไล่แมลง และควันไฟในคราวเดียวกัน “น่าสนใจมากครับลุง ข้อที่3 ว่าอย่างไร” “ทรงฝันว่า เห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด” พระผู้ทรงเป็นเลิศในโลกพยากรณ์ว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่เช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่ เมื่อหมดที่พึ่งหาเลี้ยงตนไม่ได้ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็ก” หรือว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดวงตะวันอันเปรียบเสมือนดวงตาของโลกหรี่แสงลงด้านทิศตะวันตก เงาไม้น้อยใหญ่ทาบทับลานหน้าบ้านของลุงผ่อน ม่านแห่งราตรีสีคล้ำค่อยคืบคลานครอบครองบรรยากาศ เสียงนกกากู่ก้องร้องดังเหมือนดังชักชวนกันกลับรวงรัง

(โปรดติดตาม)