บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ข้อคิดคำเขียนเชิงปัญญาน่ารู้เรื่องน้ำท่วม

  

นำข้อมูลมาจากที่นี่
http://www.thaipost.net/news/051111/47632


 มีเรื่องอยากคุย-อยากเล่า-อยากบอกเยอะ มนุษย์ด้วยกันจะได้เตรียมตัว-เตรียมใจกันทัน เพราะนี่มันก็ใกล้เวลา "นรก-สวรรค์" กำหนดเข้ามาทุกทีแล้ว เผอิญมีผู้ส่งข้อเขียน "ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต" ใน FB มาให้อ่าน ประจวบกับระยะนี้ขบวนการ "ไพร่จัณฑาล" สร้างข่าว โดยใช้ "ชื่อเขื่อนใหญ่ ๒ แห่ง" เป็นแพะ หวังให้ชาวบ้านที่พวกเขาหลอกใช้หลงเชื่อ "เป็นตัวการ" ปล่อยน้ำให้ท่วม หวังทำลายรัฐบาล "น้องสาวทักษิณ"


    อารยชนทั้งหลายฟังแล้วก็เศร้าใจ กับอนันตริยกรรมที่เขาเหล่านั้นสร้างขึ้น เรียกว่าเลวทรามหยาบช้า สุดที่อภัยฟ้า-อภัยดิน จะมีให้ได้!

    ผมก็เห็นข้อเขียน ดร.พิชายนี้ "ทำความจริงประจักษ์" ได้ดี ไม่ใช่การตอบโต้ ไม่ใช่การแก้ต่างคำป้ายสีพวกไพร่จันฑาลนั้น หากแต่ทรงศักดิ์แห่งตน ด้วยการลำดับความเชิงวิเคราะห์บน "ข้อมูลประจักษ์" ให้รับรู้-รับทราบ เพื่อการเข้าใจที่ถูกต้องตามเป็นจริง ผมขออนุญาตนำเผยแพร่ ดังนี้
เกมอำนาจกับการจัดการน้ำ


ปัญญาพลวัตร โดย...ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต


    ในสังคมใด เมื่อมนุษย์ผู้ใดกลุ่มใดโชคดีมีอำนาจขึ้นมา แต่ขาดภูมิปัญญา ใช้อำนาจไม่เป็นและใช้ไปอย่างผิดทาง ก็จะสร้างความหายนะแก่สังคม และท้ายที่สุดอำนาจก็จะหวนกลับมาทำลายตนเอง ดังที่กำลังเกิดขึ้นกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 


    ขณะที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีฝึกงาน กำลังสาละวนและละล้าละลังในการจัดการกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอ ก็หมกมุ่นกับการช่วงชิงอำนาจกับฝ่ายทหาร โดยด้านหนึ่งวิพากษ์ทหารว่าเสพติดอำนาจ และอีกด้านหนึ่งก็สนับสนุนให้ ส.ส.ในสังกัดดำเนินการแก้ พ.ร.บ. กลาโหม เพื่อช่วงชิงอำนาจในการแต่งตั้งนายทหารระดับสูง จากเดิมที่อยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการ ให้มาอยู่ภายใต้นักการเมือง


    ด้วยความที่หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาแนวทางและวิธีการที่จะช่วยเหลือพี่ชายให้กลับสู่ประเทศไทยโดยปราศจากความผิด ความอ่อนหัดไร้ประสบการณ์การบริหารราชการแผ่นดิน ความจำกัดของความรอบรู้ในปัญหาและระบบงานราชการ ส่งผลให้การตัดสินใจในการแก้ปัญหาของ "ผู้นำจำเป็น” ของประเทศไทย เกิดความล่าช้าและผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการใช้อำนาจก็เป็นไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ และไร้ทิศทาง


    ปัญหาวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปัจจุบัน ได้แสดงตัวออกมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน และปรากฏอย่างชัดเจนในเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา พายุหลายลูกที่พัดผ่านประเทศไทยตอนบนก่อให้เกิดปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปีก่อนๆ ทำให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ต้องประสบกับชะตากรรมอันเลวร้ายของการถูกน้ำท่วม ตามมาตรฐานของหลักการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนต่างๆ เมื่อน้ำไหลเข้าเขื่อนจำนวนมากก็ต้องเพิ่มปริมาณการระบายน้ำออกมา แต่ในครั้งนี้หลักการดังกล่าวกลับเกิดขึ้นอย่างล่าช้าเพราะมี "อำนาจ” บางอย่างสั่งให้เจ้าหน้าที่เขื่อนกักน้ำไว้ก่อน และกำหนดให้ระบายน้ำออกมาราวกับว่าเป็นสถานการณ์ปกติ จนกระทั่งถึงจุดที่ใกล้วิกฤติของเขื่อน จึงได้มีการเพิ่มปริมาณการระบายน้ำออกจากเขื่อน อำนาจที่ว่านั้นมิใช่อำนาจลึกลับใดๆ แต่เป็นอำนาจซึ่งดำรงอยู่ในคณะรัฐมนตรีนั่นแหละ


    เหตุผลที่มีการสั่งกักน้ำไว้ก่อน หากมองในแง่บวกก็คือ เป็นเจตนาดีที่ไม่ต้องการให้มี "มวลน้ำ" ไหลลงสู่แม่น้ำในปริมาณที่มาก น้ำจะได้ไม่ท่วม แล้วค่อยๆ ทยอยเพิ่มปริมาณการระบายน้ำในภายหลัง แต่เจตนาดีเหล่านี้ย่อมมีแรงจูงใจอยู่เบื้องหลัง นั่นก็คือการรักษาคะแนนนิยมในกลุ่มประชาชนภาคเหนืออันเป็นฐานเสียงของรัฐบาล และในท้ายที่สุด กลับทำให้เกิดมหาอุทกภัยซึ่งสร้างความหายนะแก่ประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์


    ความแปลกประหลาดของการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในครั้งนี้ มีร่องรอยให้สืบสาวจากข้อมูลที่ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพลสัมภาษณ์เอาไว้ นายบุญอินทร์ ชื่นชวลิต ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพลระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 ถึงเดือนกันยายน 2554 มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนเฉลี่ย 1,000 ล้าน ลบ.ม.ต่อเดือน รวมห้าเดือนมีน้ำเข้าไปอยู่ในเขื่อนภูมิพลประมาณ 5,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ในช่วงห้าเดือนนั้นเขื่อนระบายน้ำออกมาเพียงเดือนละ 100 กว่าล้าน ลบ.ม.เท่านั้น รวมห้าเดือนก็ระบายออกประมาณ 500 ลบ. ม. หรือมีน้ำเข้าเขื่อนมากกว่าน้ำที่ระบายออกมาถึงประมาณ 10 เท่า


    ปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาในช่วง 5 เดือน เฉลี่ยประมาณแค่ 5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวันเท่านั้น แต่ในเดือนตุลาคมได้มีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยในช่วง 1-4 ตุลาคม เพิ่มเป็น 40-60 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ต่อมาระหว่างวันที่ 5-11 ตุลาคม เพิ่มเป็น 100 กว่าล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และในช่วง 12-19 ตุลาคม ลดลงเหลือประมาณ 50-80 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน รวมอย่างคร่าวๆ น้ำในเขื่อนภูมิพลที่ระบายออกมาเฉพาะ 16 วันของเดือนตุลาคม มีประมาณ 1,200 ล้าน ลบ.ม. หรือประมาณ 2 เท่ากว่าของช่วงห้าเดือน (150 วัน) ซึ่งปล่อยออกมาเพียงประมาณ 500 ล้าน ลบ.ม.


    สำหรับพายุที่เข้าประเทศไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมมี 2 ลูก คือปลายเดือนมิถุนายนมีพายุไหหม่า ต่อมาในปลายเดือนกรกฎาคมก็เกิดพายุนกเตน พายุสองลูกนี้นำน้ำจำนวนมหาศาลเข้าประเทศไทย แต่ที่น่าประหลาดใจคือ การปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลก็ยังปล่อยเท่าๆ กับเดือนพฤษภาคม

 
    เป็นไปได้ว่า ระหว่างนั้นนักการเมืองผู้ทรงอำนาจทั้งหลายคงไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลจัดการปัญหาเรื่องน้ำในเขื่อน เพราะมัวแต่แข่งขันเลือกตั้งช่วงชิงอำนาจ แม้ว่าน้ำได้ท่วมในบางพื้นที่บางจังหวัดแล้ว สิ่งที่นักการเมืองทำก็คือ การฉวยโอกาสอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนเป็นแหล่งในการหาเสียงสร้างคะแนนนิยมเท่านั้น ไม่มีการเตรียมการใดที่จะรับมือกับมหันตภัยที่กำลังคุกคามอยู่แม้แต่น้อย


    รัฐบาลใหม่ของคุณยิ่งลักษณ์ตั้งขึ้นมาต้นเดือนสิงหาคม ปัญหาเรื่องน้ำก็ยังเป็นเรื่องเล็กสำหรับรัฐบาล ส่วนปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือ การหาทางในการช่วยเหลือทักษิณ ชินวัตร ให้กลับเข้ามาในประเทศไทยโดยปราศจากความผิดติดตัว การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อกระชับอำนาจให้แข็งแกร่ง การเจรจาและจัดงานบันเทิงเฉลิมฉลองเตะฟุตบอลร่วมกับผู้นำประเทศกัมพูชา การสนับสนุนข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ การช่วยเหลือเยียวยาสาวกของเสื้อแดง การพยายามแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม และการหาแนวทางต่างๆ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้


    สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องปัญหาน้ำท่วมก็มีบ้าง เช่น การรับบริจาค การออกไปเยี่ยมเอาของไปแจกผู้ประสบภัยบางคนบางพื้นที่ เพื่อสร้างภาพเป็นนายกฯ นางงามแจกของ แต่ยังไม่เห็นความตระหนักในการแก้ปัญหา และการคิดอย่างเป็นระบบเชิงบูรณาการเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วมแม้แต่น้อย เราจึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนอื่นๆ ทั้งที่เขื่อนเหล่านั้นมีน้ำเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมหาศาลจากพายุทั้งสองลูกที่เข้ามา


    ต่อมาในปลายเดือนกันยายน พายุก็ได้เข้ามาประเทศไทยอีก 2 ลูกคือ ไห่ถาง กับเนสาด และต้นเดือนตุลาคม พายุนาลแกก็พัดเข้ามา พายุทั้งสามทำให้ฝนตกหนักและน้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้าเขื่อน จากการที่เขื่อนปล่อยน้ำน้อยก่อนหน้านั้น ทำให้ความสามารถในการรับน้ำใหม่ที่เข้ามามีต่ำลง เขื่อนจึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการปล่อยน้ำอย่างมหาศาลตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา 


    ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ยังคงสับสนและมะงุมมะงาหราอยู่ ทำอะไรไม่ถูกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ และเพิ่งมาคิดจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ขึ้นมา โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัย และประกาศแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำเป็นหลัก


    การตั้งชื่อและกำหนดหน้าที่ของ ศปภ.ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลมีวิธีคิดในการแก้ปัญหาอุทกภัยแบบเสี่ยงและมีแนวทางในเชิงการตั้งรับ คือคิดเพียงแต่ว่าเมื่อน้ำท่วมแล้วจะช่วยอย่างไร ฟื้นฟูอย่างไร รวมทั้งแค่แจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำเท่านั้น โดยไม่ได้คิดถึงว่าจะจัดการหรือควบคุมมวลน้ำจำนวนมหาศาลอย่างไร เพื่อบรรเทาความรุนแรงและลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วม การทำงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบใน ศปภ.สะท้อนถึงตัวตนที่อ่อนหัด ทำงานไม่เป็นในการรับมือและแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น


    ในความคิดของผม หลักการสำคัญของการจัดการมวลน้ำที่ท่วมขังมีอยู่ 3 ประการ คือ การผลักดันมวลน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การควบคุมน้ำให้อยู่ในพื้นที่ซึ่งสร้างผลกระทบน้อยที่สุดไว้ชั่วคราว และการป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่สำคัญ การจะดำเนินการตามหลักการทั้งสามนั้น อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนบางกลุ่ม และอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นมาได้ ดังนั้น การใช้อำนาจตามปกติจึงไม่สามารถจัดการตามหลักการทั้งสามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อการจัดการขาดประสิทธิภาพ สิ่งที่ตามมาก็คือ คะแนนนิยมรัฐบาลลดลงเรื่อยๆ ขณะที่กองทัพกลับได้รับคะแนนนิยมเพิ่มเติมจากการลงไปช่วยเหลือประชาชนทุกรูปแบบ ทั้งการป้องกันไม่ให้น้ำท่วมในบางพื้นที่ และการช่วยเหลืออื่นๆ แก่ผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่แล้ว แม้ว่ากองทัพจะเป็นกลไกของรัฐ แต่เป็นกลไกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และแกนนำเสื้อแดงมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก มีความระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าทหารจะทำรัฐประหาร 


    ดังนั้นเมื่อทหารมีคะแนนเพิ่มขึ้น ก็สร้างความหวั่นวิตกแก่ทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล เป็นเหตุให้เขาต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ทำลายความน่าเชื่อถือของทหารโดยระบุว่า "ทหารเสพติดอำนาจ” และต่างชาติไม่ยอมรับการรัฐประหาร ทั้งที่ผู้เสพติดอำนาจอย่างโงหัวไม่ขึ้น ทำลายหลักประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาลมากที่สุดคนหนึ่ง ก็คือตัวทักษิณเองนั่นแหละ การเดินเกมเพื่อช่วงชิงอำนาจในการแต่งตั้งนายทหารระดับสูง จึงกลายเป็นเกมสำคัญของทักษิณ หากเขาชนะในเกมนี้ ทักษิณก็จะควบคุมการแต่งตั้งโยกย้ายทหารได้ทั้งหมดผ่านน้องสาวที่เป็นหุ่นเชิดของเขา แต่ความฝันของเขาอาจเป็นฝันสลาย เพราะอาจถูกพลังอันมหาศาลของสายน้ำทำลายลงไป ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ 


    ความจริงเรื่องน้ำอยากให้ทุกท่านทราบ และช่วยกันโพสต์ต่อไป เอาเฉพาะลิงก์ก็ได้
    วันที่ 24 มิ.ย. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 7,500 ล้านลูกบาศก์เมตร    
    วันที่ 22 ก.ค. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 8,000 ล้านลูกบาศก์เมตร    
    วันที่ 19 ส.ค. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 9,800 ล้านลูกบาศก์เมตร
    วันที่ 2 ก.ย. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 10,600 ล้านลูกบาศก์เมตร
    วันที่ 14 ต.ค. น้ำในเขื่อนที่ตากมีอยู่ 14,000 ล้านลูกบาศก์เมตร


    แสดงว่ารัฐบาลชุดก่อนไม่ได้สั่งเก็บ และไม่มีทางที่จะสั่งปล่อยได้ ปัญหาคือ รัฐบาลชุดนี้รู้ว่าน้ำมากและพายุจะเข้าแต่ไม่พร่องน้ำออกมา 


    ข้อมูลดิบ (ตามที่แนบ file) ท่านสามารถดูได้ที่ water.egat.co.th/old-web/sumdam-rep/dam-bb/graph-bb.htm
    ครับ...นี่คือบทวิเคราะห์ด้วย "ข้อมูลประจักษ์" ด้านหนึ่งของ ดร.พิชาย ก็ยังมีบทวิเคราะห์ด้วย "หลักฐานประจักษ์" จากอีกหลายๆ ท่านที่ผมอ่านพบ แล้วจะค่อยๆ นำน้ำขาวมาไล่น้ำครำ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น