น้ำท่วมกรุงเทพฯกับพุทธทำนาย
โสภณ เปียสนิท
..............................................
ตุลาคม 2554 ข่าวน้ำท่วมประเทศไทยอยู่บนสื่อทุกประเภท เหมือนเป็นกระแสอันเชี่ยวกราก ที่กำลังไหลหลั่งจากเมืองเหนือ เช่นเมืองเชียงใหม่ ไหลมาลำปาง กำแพงเพชร นครสวรรค์ สิงห์บุรี ชัยนาท อยุธยา สุพรรณ ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ ท่วมทับทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนที่คนสร้างขึ้น หรือสิ่งกีดขวางที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ น้ำไม่มีชีวิต ไม่มีความเมตตากรุณาในความรู้สึก คนสัตว์สิ่งของ เรือกสวนไร่นา บางส่วนจมอยู่ใต้ผิวน้ำอันเย็นเฉียบ บางส่วนลอยเท้งเต้งไปตามกระแสน้ำ โดยไม่มีใครรู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด
คำนึงถึงความทุกยากของส่ำสัตว์ที่มีมากอยู่ก่อนแล้ว น้ำท่วมจึงเพิ่มทุกข์อันไม่มีประมาณให้แก่ทุกชีวิต ชีวิตของผมและครอบครัวเล็กๆ วนเวียนอยู่บนแผ่นดิน เหมือนภัสมธุลีปลิวโปรยติดแน่นบนผิวโลกอันมีชื่อเรียกว่าว่าประเทศไทย ขณะที่เพื่อนร่วมประเทศ และร่วมโลกหลายแห่งประสบชะตากรรมน้ำท่วม เราอาศัยบนชั้นสอง ของอาคารราชการ 4 ชั้น แบบสงบสุขตามควรแก่อัตภาพ ส่งกระแสจิตแห่งความเมตตา และอามิสสิ่งของอันจำเป็นแด่ผองเพื่อนวันต่อวัน ตามกำลัง โชคดีที่หัวหินปีนี้ น้ำไม่ท่วม เพราะมีฝนน้อยถึงปานกลาง วันก่อนกลับไปเยี่ยมแม่ที่เมืองกาญจน์ แม่บอกว่า ฝนตกไม่มากนัก คงไม่ท่วมหรอก
วันหยุดนี้ผมเดินทางไป “บ้านสวนโสภณ” บ้านน้อยในป่าปลูกที่หมู่บ้านโป่งแย้พัฒนา เพื่อค้างแรมคืนดูบ้าง หัวค่ำมีโอกาสพบเพื่อนบ้านใกล้เคียงจึงสนทนาเพื่อเพิ่มสัมพันธไมตรีอันดีของชุมชน ตามวิถีประชาที่ชาวชนบทดำเนินกันมาเนิ่นนาน “ลุงผ่อน” ย้ายบ้านมาจากจังหวัดเพชรบุรี มาอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านสวนโสภณนานกว่า 20 ปี เดินผ่านบ้านลุง ลุงเรียกกินข้าวค่ำด้วยกัน ผมยิ้มให้พร้อมปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ด้วยเหตุผลอันหนาแน่นป้องกันลุงเข้าใจผิด ลุงชวนคุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าปลูกป่าเลี้ยงสัตว์อย่างน่าสนใจ เป็นอันว่าผมตกหลุมการสนทนาเข้าจนได้
คิดว่าการสนทนาเรื่องเกษตรกรเป็นเรื่องน่าสนใจที่สุดสำหรับวันนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า มีเรื่องอื่นที่น่าสนใจยิ่งกว่า เมื่อผมปรารภว่าคนเราสมัยนี้เหมือนว่าจิตใจต่ำลง ลุงผ่อนมีท่าทีกระตือรือร้นสนใจอยากพูดคุย “ลุงสังเกตเรื่องนี้มานานแล้ว มันต้องเป็นไปตามพุทธทำนายแน่นอน” คำของลุงกระตุ้นความสนใจของผมขึ้นมาบ้าง “หมายความว่าลุงรู้ว่าพระพุทธองค์เคยพยากรณ์เรื่องโลกมาแล้ว” ผมถามเพราะความอยากรู้มิใช่ต้องการลองภูมิ เหมือนลุงจะรอให้ถามอยู่แล้ว “ใช่ซิ มีอยู่ในคัมภีร์เทียวนา” ลุงยืนยันทำหน้าขึงขัง “หรือครับ เรื่องเป็นมาอย่างไรครับ” ผมพลอยตื่นเต้นไปด้วย
ลุงผ่อนยิ้มแย้ม เพราะเห็นว่าผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ “อยู่ในคัมภีร์พระสุตันตปิฏก ตอนที่พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งแคว้นโกศล ทรงพระสุบินมากถึง 16 ข้อ โดยมีเนื้อเรื่องติดต่อเกี่ยวเนื่องกัน” ลุงเริ่มต้นอย่างน่าสนใจ “แสดงว่าพระราชาก็ฝันเป็นเหมือนชาวบ้าน” “อ้าว....พระราชาก็คนเหมือนเรานี่” ลุงพูดไปหัวเราะไป “ดีเลยครับลุง ผมอยากรู้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย” ลุงขยับผ้าขาวม้าโบกไล่ยุงก่อนจะร้องเรียกหลานให้ก่อกองไฟใกล้ที่นั่งสนทนา เห็นภาพเด็กวิ่งเล่นหน้าบ้าน มีควันจากกองไฟไล่แมลงยามบ่ายจัดเช่นนี้ พาความคิดของย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์สมัยวิ่งเล่นหน้าบ้านริมแม่น้ำแควกาญจนบุรี เนิ่นนานแล้ว
“พระองค์ฝัน เอ้ย ทรงสุบินแล้ว นำมาเล่าให้โหราจารย์พฤฒาเฒ่าฟัง ผู้เฒ่าเหล่านั้นพยากรณ์ว่า เป็นลางร้ายของแผ่นดิน เมื่อพระองค์สอบถามเรื่องการแก้ไข ได้รับคำตอบว่า ให้ทำพิธีบูชามหายัญ” “บูชายัญ” ผมพยายามปรับให้คำพูดของลุงถูกต้องยิ่งขึ้น ลุงแย้งกลับอย่างรวดเร็ว “มหายัญนั่นถูกต้องแล้ว เพราะพระราชาทำทั้งทีต้องยิ่งใหญ่หน่อย” “จริงของลุง พระราชาคงไม่ทำแบบชาวบ้านธรรมดาแน่” ผมแค่นึกในใจโดยไม่ได้กล่าวต่อประเด็นนี้ “แล้วต้องทำอย่างไรครับ มหายัญ” “ก็ต้องฆ่าสัตว์อย่างละ 500 นั่นแหละ ไล่จากสัตว์เล็กไปหาสัตว์ใหญ่นานาชนิด ยิ่งฆ่าสัตว์มากยิ่งได้บุญมาก สามารถปรับเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน”
ฟังคำของลุงแล้วความคิดเคลือบแคลงรู้สึกว่าขัดแย้งกับหลักของพุทธศาสนาที่ห้ามฆ่าและรังแกผู้อื่น ไม่ว่าคนหรือสัตว์ “แล้วเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองได้จริงหรือเปล่าครับ” อยากนำมาใช้ในการเปลี่ยนชะตาบ้านเมืองของเราบ้าง หากแก้ไขได้จริง “เป็นความเชื่อของพราหมณ์เขา ไม่ใช่ความเชื่อแนวพุทธของเรา” ลุงแสดงภูมิพระพุทธศาสนาอย่างดี “แล้วแบบพุทธเชื่ออย่างไรครับ” ผมอดถามไม่ได้ เพราะต้องการให้ลุงได้แสดงความคิดเห็น “แบบพุทธต้องไม่ฆ่า ไม่รังแกสัตว์ แม้ตนเองก็ห้ามไม่ไห้รังแก แถมยังต้องมีเมตตาประกอบด้วย” ลุงกล่าวหลักการอย่างหนักแน่น เชื่อมั่นเต็มหัวใจ “แสดงว่าการฆ่าสัตว์บูชายัญไม่ใช่เส้นทางแห่งบุญ” ผมพยายามทบทวนเพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น “ผิดจากหลักการของพุทธ”
“สรุปว่า โหราจารย์ทั้งหลายเสนอให้พระเจ้าปเสนทิโกศลฆ่าสัตว์บูชายัญ แล้วพระองค์ทำอย่างไรครับ” ผมสรุปให้ลุง อยากฟังเรื่องต่อไป “เรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงพระนางมัลลิกาเทวี” “ใครครับพระนางองค์นี้” “อ่อ อนุมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล” ผมนิ่งคิดสักครู่ “เจ้าจอมหรือครับ” “ใช่ พระเทวีองค์นี้เป็นพุทธมามกะ นับถือพระพุทธองค์ เห็นว่าพระราชาอาจสร้างกรรมหนัก หากปฏิบัติตามคำของโหราจารย์ทั้งหลายจึงถวายคำแนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อสอบถามปัญหานี้ต่อหน้าพระพักตร์” ลุงเล่าไปใช้คำราชาศัพท์อย่างถูกต้องจนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดลุงอยู่ในชนบทห่างไกลจึงใช้คำราชาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง “ลุงจำคำราชาศัพท์ได้เก่งจังครับ” ลุงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สักครู่จึงตอบว่า “ลุงเป็นพระเอกลิเกเก่ามานานกว่า 20 ปี” “อ๋อ เล่นลิเกก็ดีอย่างนี้นี่เอง” สรรพวิทยาการต่างๆ ล้วนมีค่า หากว่าเรารู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
“พระเจ้าอะไรนะลุง” ผมจำชื่อพระราชาไม่ได้ “ปเสนทิโกศล” ลุงตอบแบบไม่ต้องคิด “ใช่ครับ แหม ติดอยู่ที่ริมฝีปากนี่เอง” ผมกล่าวแก้เก้อที่ความจำสู้คนแก่ไม่ได้ “อ้าว อย่างนั้นหรือ มองไม่เห็นเลย เห็นแต่หนวดติดริมฝีปาก” ลุงว่าเข้านั่น ทำหน้าล่อเล่นเห็นอารมณ์ขัน “พระองค์ไปพบพระพุทธองค์หรือเปล่าครับ” ผมถามเข้าเรื่อง “ไปซี เพราะพระองค์มีพระทัยชื่นชมพระนางมัลลิกาเป็นพิเศษอยู่ก่อนแล้ว” ลุงอ้างเอาความรักความพอใจส่วนพระองค์เป็นเหตุผลประกอบ “เรื่องเป็นอย่างไรต่อครับ” ผมเริ่มใจร้อน ขณะควันจากกองไฟเปลือกมะพร้าวถูกลมหอบมาทางวงสนทนา เด็กๆ หลายคนนั่งเล่นบนที่นั่งใต้ต้นมะยมอีกมุมหนึ่งของบ้าน
“พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่วัดพระเชตะวันมหาวิหาร ตามที่พระนางมัลลิกาถวายคำแนะนำ” “ได้พบพระพุทธองค์หรือเปล่าครับ” “พบซิ จึงเล่าถึงพระสุบินนิมิตแปลกๆ ให้พระพุทธองค์ทรงสดับทีละข้อ” ชักจะถึงตอนสำคัญ ลุงอ้อมไปอ้อมมาจนผมอยากรู้มากขึ้น “คืออย่างไรบ้างครับลุง” “เอ็งตั้งใจฟังให้ดี ปัจจุบันคนรู้เรื่องนี้มีน้อย” เหมือนลุงจะเกรงว่าผมอาจให้ความสำคัญน้อยเกิน “เพราะเหตุใดครับ” “มีคนส่วนน้อย ที่สนใจเรื่องราวทางศาสนา” “งั้นลุงเล่าต่อเลย ผมจะได้จำ” “เออนะ ไม่ต้องเร่ง ได้ฟังแน่” ลุงวาดลวดลายเสียจนผมงง
“พระเจ้าปเสนทิโกศลสุบินในข้อที่ 1 ว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว พากันวิ่งจาก 4 ทิศมาสู่ท้องพระลานหลวง ฝูงชนต่างรอดูโคทั้งสี่ที่ส่งเสียงคำรามลั่นเหมือนจะชนกัน แต่แล้วต่างก็ถอยออกไปไม่ชนกัน” สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำนายว่าในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น...” “แล้วที่ว่าโคส่งเสียงคำรามนั่นเล่าครับ” “จะมีเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า แต่ฝนฟ้าไม่ตก เหมือนโคที่ร้องคำราม แต่ว่าไม่ชนกัน”
ลุงเล่าเรื่องทำหน้าตื่นเต้น ใจหนึ่งก็คิดว่า เรื่องเหล่านี้มีอยู่จริงในคัมภีร์หรือไม่ หรือว่าลุงไปจำเรื่องเล่าของคนโบราณ ที่เล่าสืบต่อกันมา “แล้วข้อที่2 เล่าครับ” ผมถามเรื่อยในยามที่ลุงหยุด “สุบินว่าต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ออกดอกออกผลแล้ว” สมเด็จพระประทีปแก้ว ทรงทำนายว่าต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว” เรื่องแบบนี้ถ้าเขียนไว้ในสมัยไม่นานมานี้ก็ไม่น่าอัศจรรย์ใจ แต่หากบันทึกไว้เกือบ 2500 ปีที่ผ่านมา ถือว่าน่านับถือ
ลุงหยุดเล่า ใช่ผ้าขาวม้าโบกสะบัดไล่แมลง และควันไฟในคราวเดียวกัน “น่าสนใจมากครับลุง ข้อที่3 ว่าอย่างไร” “ทรงฝันว่า เห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด” พระผู้ทรงเป็นเลิศในโลกพยากรณ์ว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่เช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่ เมื่อหมดที่พึ่งหาเลี้ยงตนไม่ได้ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็ก” หรือว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดวงตะวันอันเปรียบเสมือนดวงตาของโลกหรี่แสงลงด้านทิศตะวันตก เงาไม้น้อยใหญ่ทาบทับลานหน้าบ้านของลุงผ่อน ม่านแห่งราตรีสีคล้ำค่อยคืบคลานครอบครองบรรยากาศ เสียงนกกากู่ก้องร้องดังเหมือนดังชักชวนกันกลับรวงรัง
(โปรดติดตาม)
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น