บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พบเพื่อนเก่าสมัยเรียนปริญญาตรี (มจร.รุ่น35)

พบเพื่อนเก่าสมัยเรียนปริญญาตรี (มจร.รุ่น 35)
โสภณ  เปียสนิท
.......................................


                ช่วงหน้าร้อนปี 2546 ผมต้องขอบันทึกไว้ว่าเป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิตการทำงานที่หนักหน่วง จนความเครียดของผมเพิ่มขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ทุกวันนี้ผมทำงานด้วยความรู้สึกเป็นสุขและสนุกกับการทำงาน เพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และได้ทำในสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเอง สังคม ประเทศชาติอย่างยั่งยืน (ผมคิดเอาเองนะครับ)

                นอกจากงานสอนอันเป็นหน้าที่หลักที่ผมสมัครใจสอบบรรจุเข้ารับราชการมาแต่ต้น ผมได้รับมอบหมายงานเกี่ยวกับการวางแผนและพัฒนาอีกด้านหนึ่ง ในความคิดของผมขัดแย้งกันอยู่ในตัว ด้านหนึ่งมองเห็นว่าผู้ใหญ่ให้ความไว้วางใจมอบภาระอันสำคัญให้ดูแล อีกด้านหนึ่งผมรู้สึกว่า ตนเองค่อย ๆ เดินห่างจากภาระหน้าที่แสนรัก คือความเป็นครูที่ผมตั้งใจทำมาแต่ต้นไปเรื่อย ๆ ความหมายระหว่างบรรทัดตรงนี้ก็คือว่า ผมรู้สึกกังวลว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้สอนหนังสือที่ไม่ดีนัก เพราะภารกิจทั้งสองด้านย่อมแย่งชิงเวลาซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา

                ตัวอย่างเด่นชัดที่พบได้ในช่วงฤดูร้อนนี้คือ ผมรับภาระการสอนวิชา การแปลภาษาอังกฤษธุรกิจ และในขณะเดียวกันผมได้รับมอบหมายให้เข้ารับการอบรมผู้บริหาร ณ สถาบันพัฒนาผู้บริหาร กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกินเวลาเกือบทั้งเดือนมีนาคม จำเป็นต้องร่นระยะเวลาการสอนไปชดเชยในเดือนเมษายนแทน ทำให้เวลาแห่งการศึกษาของนักศึกษาบีบอัดแน่นด้วยเนื้อหาสาระของรายวิชา ในความเห็นของผม การศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็นตัวช่วยให้มีพัฒนาการ ข้อนี้ค่อย ๆ ก่อความห่วงใยนักศึกษาขึ้นในใจของผมอยู่เสมอมา

                กลับจากอบรมผู้บริหารไม่ทันไร ผมได้รับคำสั่งเข้ารับการอบรมเตรียมการจัดทำ การรายงานการประเมินตนเอง หรือ เรียกภาษาอังกฤษให้เท่หน่อยว่า Self Assessment Report : SAR ที่จังหวัดตรัง พร้อมกับเพื่อนพ้องในวิทยาเขตจำนวนสามสิบกว่าคน

                จากการอบรม เราได้รับคำสั่งจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ให้เร่งดำเนินการจัดทำรายงานการประเมินตนเองให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาประมาณ 20 วัน เพื่อรองรับการประเมินภายนอก จากหน่วยงานที่เรียกย่อ ๆ ว่า สมศ. ที่มีหน้าที่ตรวจประเมินสถานศึกษาและรายงานให้สาธารณชนทราบ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 หมวดที่ 6 ว่าด้วยเรื่องการตรวจประเมินคุณภาพสถานศึกษา เป็นอันว่าสงกรานต์ปีนี้งานรื่นเริงฉลองเทศกาลของพวกเราค่อนข้างกร่อยไปหน่อย ด้วยความกังวลว่างานที่ได้รับมอบหมายจะเสร็จไม่ทันกำหนด

                รายงานด้านสารเสพติดก็ต้องดำเนินการต่อ เพราะเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และยังอยู่ในช่วงเวลาสามเดือนอันเป็นเวลาที่กำหนด ส่วนหนึ่งผมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้มีส่วนรับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานและจัดทำรายงานที่เกี่ยวข้องตามเวลาที่กำหนด


                ระหว่างที่คร่ำเคร่งอยู่นั้น ผมได้รับโทรศัพท์นัดหมายจากเพื่อนพ้องสองรายการ รายการแรก เพื่อนร่วมรุ่น 35 สมัยเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ รายการนี้ผมคิดหนัก เพราะปีที่ผ่านมาผมได้รับนัดหมายด้วยเช่นกัน แต่ผมเสียมารยาทไม่ไปเนื่องจากติดภารกิจบางประการ ดังนั้นแม้จะมีงานหนักอยู่ ผมควรจะให้เกียรติเพื่อนพ้องสักครา

                ผมเร่งรีบจัดทำงานราษฏร์ คืองานเกี่ยวกับการดูแลครอบครัวให้เรียบร้อยในเช้าวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา แวะที่ทำงานสั่งงานเกี่ยวกับการจัดพิมพ์รายงานการประเมินตนเองอีกเล็กน้อย ก่อนเดินทางถึงที่พัก และเร่งรีบออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ จุดนัดหมายคือที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจารึกประวัติศาสตร์แห่งความกล้าหาญของวีรชนผู้เสียสละเพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก

                เดินทางถึงที่หมายราวสองทุ่ม ผมเร่งก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มเข้าโรงแรม พบเพื่อนสามคนยืนต้อนรับอยู่ตรงบันได เราทักทายสวมกอดกันด้วยความคิดถึง กระแสแห่งชีวิตพาเรามาพบกันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ศึกษาร่วมกันกว่า 5 ปี ณ มหาวิทยาลัยอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย (ขอใช้คำนี้นะครับ ใครจะว่าผมเป็นพวกมหาวิทยาลัยนิยมก็ตาม) และไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ในที่สุด กระแสนั้นก็พัดพาเราพลัดพรากจากกัน นานนับ 10 ปี

ผมจำได้ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ ลงพุงเล็กน้อยดูภูมิฐานคือ สมชัย ศรีนอก หัวหน้าห้องผูกขาดของเรานั่นเอง เราพากันเดินเข้าสู่ห้องที่ผองเพื่อนราวยี่สิบกว่าคนกำลังสรวลเสเหฮากันอยู่ก่อนแล้ว บางคนกำลังดื่ม บางคนกำลังทานอาหาร บางคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ

ภาพของผองเพื่อนในความทรงจำเก่า ๆ ถูกลบเลือนด้วยภาพของปัจจุบัน บางคนผอม บางคนอ้วนกว่าเดิม บางคนผมบางลง (บางคนที่ว่านั้นมีผมเองเป็นมากกว่าคนอื่น) บางคนสีผมเริ่มเปลี่ยนแปลงเหมือนช่างตัดผมทาแป้งไว้แล้วล้างไม่ออก หรือไม่ก็ไปกัดสีผมเป็นแซมขาวเล็กน้อยตรงนั้นตรงนี้อย่างถาวร บางคนผิวคล้ำ รอยตีนกาขึ้นประปรายรายล้อมขอบตาด้านนอกอย่างไม่เกรงใจเจ้าของตา และที่สำคัญ พวกเราทุกคนเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มจากผ้ากาสาวะย้อมด้วยน้ำฝาดสีเหลืองหม่น เป็นนุ่งห่มตามวิถีแห่งหินเพศ เพศฆราวาสทั้งหมด

จากการพูดคุย เพื่อนบางคนเตือนความทรงจำว่า ผมเองมีบุคลิกเด่นคือชอบคำผวน (เท่ากับคำว่าลามกเล็ก ๆ ) ภาพนี้ผมจำตัวเองเกือบไม่ได้ บางเรื่องผมเห็นเป็นธรรมดา แต่อยู่ในความทรงจำของเพื่อนพ้องได้เนิ่นนานกว่าที่ผมคาดคิด

ผมได้รู้ว่ายังมีเพื่อนพ้องของเราหลายคนที่ยังทรงความเป็นอุดมเพศ เพศอันสูงส่ง คือความเป็นพระอยู่ได้ และได้รับการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งทางพระจนเป็นเจ้าคุณ เจ้าอาวาส เจ้าคณะ บางรูปเดินทางไปไกลถึงต่างประเทศ เป็นนักเผยแพร่พุทธศาสนาอยู่ต่างแดน

เดโช ทำหน้าที่พิธีกร ขึ้นไปร้องเพลงพร้อม ๆ กับการพูดคุยและรื้อฟื้นความทรงจำของพวกเราในบางเรื่อง ว่าง ๆ ก็เชิญพวกเราที่ละคนขึ้นเวทีไปเล่าเรื่องราวของตนให้พรรคพวกฟัง ชีวิตหลังจากแยกย้ายกันแล้วดำรงชีวิตต่อมาด้วยการทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร ลีลาท่าทีของเดโชบนเวที ดูเผิน ๆ แล้วเหมือนกับมืออาชีพทีเดียว

                คุณภิบาล หนุ่มเมืองเหนือได้รับเชิญขึ้นเวทีได้เล่าให้ฟังถึงการกลับไปเป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนแถวบ้านเกิด เมืองลำปาง พาครอบครัวมาด้วย ภรรยาหนึ่ง และผลผลิตจากการครองคู่สองคน (ก็ลูกนั่นแหละ) เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้พอควร แล้วตามด้วยร้องเพลงอีกสองสามเพลงก่อนลาเวที

                ประดับ อดีตท่านมหาเปรียญธรรมหลายประโยค ไปรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่อยู่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประเพศ ท่านมหาห้าประโยค และเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของห้อง รับราชการเป็นครูอยู่กรมอาชีวะ พร้อมกับเขียนหนังสือภาษาอังกฤษขายเป็นงานอดิเรกได้ 6-7 เล่มเข้าแล้ว ชาตรีเจ้าตำรับภาษาอังกฤษ หรือดิกเคลื่อนที่ประจำห้อง ไปทำงานอยู่เขมรหลายปี จนได้ภรรยาเขมรมาหนึ่งคน ลูกน้อยอีกสองคน และเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ที่มีชื่อพอสมควร บางคนเป็นผู้จัดการอยู่ที่โรงหนังมีชื่อแห่งหนึ่ง

                จากการพูดคุยพอสรุปได้ว่า เพื่อน ๆ ส่วนมากไปเป็นครูอาจารย์ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ราวห้าทุ่มเศษ ผมขอตัวเพื่อน ๆ เดินทางกลับ เพื่อเตรียมการต่อสู้กับหน้าที่การงานตามวิถีแห่งชีวิตแห่งตนเหมือนที่เคยเป็น เออ หนอ ชีวิตกับกาลเวลา ช่างเป็นเหมือนภาพมายาการ เพื่อนรุ่น 35 ต่างเกิดกันคนละทิศละทาง ทุกภาคของประเทศ เติบโต พเนจรมาพบกัน อยู่ร่วมกัน แยกย้ายจากกัน วันนั้นได้กลับมาพบกันเพื่อเตือนว่าวันเก่า ๆ เหมือนเป็นดังรากของชีวิต อย่างไรพวกเราคงลืมกันไม่ลง จนกว่าจะแยกย้ายกันอย่างถาวร
                

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น