บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ลูกแมวหลงทาง


ลูกแมวหลงทาง
โสภณ เปียสนิท


เช้าวันวานท้องฟ้าหัวหินหม่นหมองตั้งแต่เช้า เสียงฟ้าร้องแว่วมา เหมือนคร่ำครวญกับความทุกข์บางประการมาจากฟากฟ้าห่างไกลออกไป ลมหนาวกรูเกรียวผ่านมาทักทายตอนใกล้ฝนพรำ หรือว่า ฝนตกแล้วที่ใดที่หนึ่งห่างไกลออกไปจากหัวหิน อยากให้ฝนตก แต่เป็นห่วงนักศึกษาที่ต้องเดินทางมาเรียนภาคเช้า ด้วยรถมอเตอร์ไซด์ จำได้ว่า เคยเห็นนักศึกษาสาวร่างเล็กคนหนึ่งเข้าห้องเรียนสายกว่าปกติ เปียกปอนเข้าห้องเรียน เธอนั่งเรียนไปสั่นไป เนื้อตัวเสื้อผ้ากระเป๋าหนังสือเปียกฝน ทราบข่าวหลังจากนั้นว่าเธอไม่สบาย อย่าว่าผมโหดร้ายที่สอนต่อ ทั้งที่ควรให้เธอไปพักก่อน ผมดำเนินการตามที่ว่าแล้ว แต่เธอก็กลับบ้านไม่ได้อยู่ดี เพราะฝนกำลังตก

คิดถึงความหลังเพลินๆ ถึงหน้าห้องทำงานเหมือนคนละเมอ พบหน้าเจ้าแมวน้อยลายเหลืองน่ารักนอนบนเก้าอี้หน้าห้องจึงร้องทัก “ไง แมวน้อย” เธอขยับตัวลุกขึ้นยืนต้อนรับช้าๆ เหมือนขี้เกียจเต็มประดา ช้อนตามองพร้อมตอบว่า “สวัสดีครับ” ผมนึกนิยมในใจ “เอแมวตัวนี้ มีแมวสัมพันธ์ที่ดี ช่างรู้จักเจรจา” แต่เจ้าแมวน้อยกลับมองหน้าผมตรงๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง “ขอบคุณครับ” นึกสงสัยว่าขอบคุณเรื่องอะไร เพราะยังไม่ได้ทำสิ่งใดให้เลย “ก็ที่ชมผมว่ามีแมวสัมพันธ์ที่ดี” แมวน้อยตอบทันที คราวนี้ทำเอาผมงงหนัก ไม่รู้ว่าเธอเป็นแมวอัจฉริยะที่รู้ใจคนได้ หรือว่าเดาเอาตามสถานการณ์เหมือนหมอดูชอบทำ “ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ เป็นเรื่องจริง” ความประหลาดใจของผมพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด “เอ้ย...เป็นไปได้อย่างไร” แมวทำหน้าตาเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับความแปลกใจของผม เหมือนว่าจะเคยชินกับอารมณ์และความรู้สึกของคนในกรณีแบบนี้

แมวลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ตัวเดิม บิดขี้เกียจด้วยท่าทีอันน่าชม เหลือบมองผมที่ยืนอยู่ใกล้เก้าอี้นิดหน่อยก่อนกล่าวคำอย่างมีมารยาท “ขอให้ผมทำตัวเหมือนแมวก่อนนะครับ” ผมคงทำหน้างงให้แมวเห็นเข้าเต็มๆ แมวน้อยกล่าวต่อทันที “ก็บิดขี้เกียจไง เป็นแมวตื่นขึ้นมาต้องบิดขี้เกียจ” ว่าแล้วไม่รอคำตอบ แมวน้อยยืนโก่งหลังโค้งสูงทีละน้อยจนหลังสูงสุดสองขาหน้าและสองขาหลังเกือบติดกัน “เอ่อ ท่านี้ค่อยหายเมื่อยขึ้นมาหน่อย” ผมมองดูแมวน้อยด้วยความแปลกใจ ระคนความสนใจ เห็นแมวยืนสองขาหน้าอยู่คู่กันตามปกติ แต่ค่อยๆ เหยียดสองขาหลังไกลออกไปจนสุด ด้านหน้าสูงหลังเตี้ยลงลำตัวเกร็งเป็นแนวตรง แมวน้อยพึมพำเบาๆ “ท่านี้บริหารขาดีมาก” ชำสายตามองผมนิดหนึ่งว่ายังสนใจเขาอยู่หรือไม่ แล้วกลับยืนสี่ขาท่าพื้นฐานก่อนจะค่อยๆ เหยียดขาหลังทีละข้างออกไปด้านหลังสุดเหยียด “สบายแล้วคราวนี้ เดี๋ยวนะ ขอเดินวนรอบหนึ่งก่อน” ไม่รอคำอนุญาต เธอเดินวนเรื่อยๆ อย่างสบายใจ


“ขอโทษครับ มาจากไหนครับ” ผมเห็นว่าการสนทนาระหว่างการเดินไม่เป็นการรบกวนแต่อย่างใด แมวน้อยช้อนสายตาขึ้นมองผมแวบหนึ่ง สายตาของเราสบกันอย่างจัง ตาของเธอออกสีเหลืองม่านตาข้างในเล็กนิดเดียว “โน่น หลังวิทยาเขต เลยกองขยะไปราว 300 เมตร” แมวกล่าวตอบพร้อมมองไปด้านที่มีหมู่บ้านหลังวิทยาเขต “อ๋อ อยู่แถวนี้เอง” ผมกล่าวเรื่อยๆ เป็นการชวนคุย เพื่อไม่ให้แมวน้อยใจว่าผมต้องการให้เขากลับบ้าน “ครับ อยู่แถวนี้ เราเป็นเพื่อนบ้านกัน” นั่นแน่ เธอตีสนิทเป็นเพื่อนบ้านกันไปแล้ว “กินอะไรมาแล้วยัง” ผมถามไถ่ตามมารยาท “กินมาบ้างแล้วครับ” แมวตอบแบบสุภาพชน ผมมองไม่เห็นว่าเธอกินอะไร “กินอะไรบ้างเล่า” เธอมองตรงๆ อีกครั้ง “ก็ตั๊กแตนสองตัวตรงพุ่มไม้ริมรั้วนั่น แล้วก็ขนมปังป่นๆ ในจานรองถ้วยนั่น” มองตามสายตาแมวน้อย จึงเห็นเศษขนมปังในจานรองถ้วย เพื่อนร่วมงานคงสงสาร จึงนำมาให้แมวน้อยกิน “ไม่เห็นมีน้ำเลย ดื่มน้ำแล้วยัง” เธอนั่งลงบนพื้นใกล้เก้าอี้ สองขาหน้ายืนตรง สองขาหลังงอเข้าชิดก้น “ดื่มแล้ว ไม่ต้องห่วง” “ดื่มที่ไหนเล่า” “ก็นั่นไง ในรางน้ำที่มีจอกแหนลอยอยู่นั่น” ดูเจ้าแมวน้อยจะฉลาดรอบรู้เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

ผมยิงคำถามสำคัญโครมเข้าให้ “ทำไมไม่กลับบ้าน” แมวน้อยทำหน้าเศร้าสร้อย “ไม่อยากกลับไปเลยครับ เบื่อเต็มที” ว่าแล้วก้มหน้าเหมือนจะร้องไห้ เห็นว่าบรรยากาศจะเศร้าจนเกินไป “ไม่เป็นไร ไม่อยากกลับก็อยู่นี่ก่อน” คราวนี้ใบหน้าแมวน้อยมีรอยยิ้ม แต่ยังแฝงแววเศร้าหมอง “ทำไมหรือ ที่บ้านเขาไล่มาหรือเปล่า” เธอตอบแบบไม่มองหน้า “ไม่ได้ไล่โดยตรงหรอกครับ” “แสดงว่าไล่โดยอ้อม” “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่นั่นแหละ” แมวกล่าวเป็นปริศนา “ยังไงกัน บอกหน่อย” ผมอยากรู้ตามประสาคน “บ้านนั่นไม่รักแมวครับ” ผมประหลาดใจขึ้นมาอีก “ไม่รักแล้วเขาเลี้ยงแมวทำไม” แมวน้อยตอบทันที “เปล่าเขาไม่ได้เลี้ยงกันหรอก” “อ้าว.....” ผมร้องเสียงยาว แมวกล่าวต่อ “แม่คาบคอ พาผมหนีหมาบ้านข้างๆ เข้าไปวางไว้ข้างในบ้าน ลูกสาวบ้านนั้น เลยเอาก้างปลาให้ผมกิน เลยรู้จักกัน พอได้กินได้อยู่บ้าง” “แสดงว่าเขาไม่ได้เลี้ยงทุกวัน” “ก็เลี้ยงแบบบุฟเฟ่ท์ หากินเองโดยส่วนมาก” ผมทำหน้าเห็นใจ เข้าใจสถานการณ์ที่แมวประสบมา

แล้วกล่าวให้กำลังใจ “ก็พออยู่ต่อไปได้นี่นา” “มีปัญหามากกว่านั้นอีก” เธอก้มหน้าพูดไปเรื่อย “ปัญหาอะไรอีก” ผมถามตามน้ำไปเรื่อยๆ “พ่อบ้านชอบดื่มเหล้า เมาแล้วก็ทะเลาะกัน เสียงดังโครมคราม” คิดแล้วก็น่าเห็นใจ นึกภาพออกว่า เวลาเกิดเสียงดังแบบนี้ แมวต้องกระโดดหนีทันที “แล้วหนีไปที่ไหนเล่า” “ก็เข้าป่านอนใต้ร่มไม้ หากินมดแมงสัตว์เล็กน้อยไปเรื่อย” เธอตอบแบบไม่อาลัยอาวรณ์บ้านหลังเก่าที่จากมา “แล้วไม่คิดถึงลูกสาวบ้านนั้นหรือ” เธอทำหน้าสลดอีกครั้ง “ก็คิดถึง แต่เห็นเธอร้องไห้ตอนพ่อแม่ทะเลาะกัน ยิ่งไม่สบายใจ”


รู้สึกว่าเจ้าแมวน้อยตัวนี้จะรู้สึกเหมือนคน “ทำไม ไม่กลับไปบ้านข้างๆ” ลองตั้งคำถามใหม่ให้แมวคิด “ไม่ไหวหรอก บ้านนั้นชอบนินทาว่ายร้ายบ้านอื่น” เอ แมวน้อยนี่จะรู้มากเกินแมวไปแล้วมั้ง เพียงคิดยังไม่ทันจบ แมวพูดสวนมาทันที “แมวหรือคนก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกันนั่นแหละ” เอาอีกแล้ว เผลอคิดอะไรไม่ได้เลย เจ้าแมวน้อยรู้หมด ชักจะอายแมวแล้วนะ “เร่ร่อนแบบนี้ไม่ลำบากแย่หรือ” ผมถามแบบเห็นใจ “ไม่หรอกครับ ชีวิตผมลำบากจนเคยแล้ว” ชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้ ลำบากทุกข์ยากกันทั้งนั้น ทั้งคนและแมว

แมวน้อยนั่งสองขาหน้ายันพื้นมองไปตามระเบียงหน้าห้องพักตลอดแนวยาวเหมือนปลงกับชีวิต “ใช่ จริงอย่างที่คิดนั่นแหละ” เอ แมวตัวนี้มีอะไรดีๆ เกินกว่าแมวธรรมดา หรือว่าเป็นแมวตาเพชร ตามที่คนโบร่ำโบราณเขาว่ากันต่อๆ มา พยายามสังเกตมองหาสัญลักษณ์อะไรที่พิเศษอื่น ก็ไม่พบ หน้าตาเหมือนแมวทั่วไป “ใช่ครับ ผมก็เหมือนแมวทั่วไปนั่นแหละ” คิดอะไรไม่ได้เลย น้องแมวรู้หมดเลย “ชอบไหมที่เกิดเป็นแมว” ผมชวนคุยในฐานะเพื่อนบ้านเรือนเคียงมาเยี่ยมเยือน “โห อย่าถามเลย มันลำบากนะ” “ลำบากหรือ ไม่เห็นได้ทำอะไร วันๆ ก็เอาแต่นอน เขาจึงพูดประชดว่า “เหมือนแมวนอนหวด” ไง คนเขาว่ากันอย่างนี้” แมวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ก็ว่ากันไปตามประสาคน ไม่ใช่ประสาแมว” ดูเหมือนแมวจะถือโอกาสต่อว่าอย่างไรชอบกล “ผมอยากเกิดเป็นคนมากกว่า” อ้าวแล้วกัน อยากเป็นคนเสียแล้ว “เป็นคนลำบากหนักกว่าแมวอีก” “อย่าขู่ผมเลย ผมรู้ว่าคนเป็นอย่างไร เกิดเป็นคนดีกว่าแมวตั้งมากมาย”  ฟังแมวพูดแล้วทำให้เกิดความดีใจอยู่เงียบๆ ที่ได้เกิดเป็นคน “คนดีกว่าแมวอย่างไร” ถามแบบอยากให้แมวบอกความรู้สึกออกมาให้มาก เพราะคงไม่มีโอกาสได้คุยกับแมวอัจฉริยะ เช่นแมวตัวนี้ “ในมุมมองของแมวนะ...” นั่นแน่ เล่นถ้อยคำสำนวนไม่เลวเลย ผมนึกแซวในใจ แมวยิ้มเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไร “คนหิวก็หากิน หรือบอกให้ใครช่วยหาให้กินได้ แมวบอกใครไม่ได้” เออ จริงของแมวแฮะ “คนหนาวก็หาผ้าห่ม ร้อนก็อาบน้ำเปิดแอร์ เป็นไข้ไม่สบายก็ไปโรงพยาบาล เป็นแมวทำไม่ได้เลย” เออ จริงของแมวอีก เก่งนะเจ้าแมวน้อยนี่ “คนมีปัญญาสร้างบ้าน เรียนหนังสือ แมวทำไม่ได้” เอ๊ะ แมวตัวนี้อัจฉริยะจริงๆ “ยัง ยังไม่จบ มีมากกว่านี้” แมวกล่าวไป เหมือนคุยกับความคิดของผม “คนทำความดีได้ แมวทำได้อย่างจำกัด” เออ แหนะ ไปถึงนั่นเลย

“ทำอย่างไร ความดี” ผมแกล้งแมว ถามไปอย่างนั้น เหมือนลองภูมิแมว “คนให้ทานได้ ช่วยเหลือคนอื่น ทำสาธารณประโยชน์ได้ แมวทำไม่ได้ คนรักษาศีลได้ แมวรักษาไม่ได้ คนสวดมนต์เจริญภาวนาได้ แมวทำไม่ได้เลย เป็นกรรมของแมว” เออจริงอย่างที่แมวว่ามาทุกอย่าง แมวเห็นผมนิ่งงันอยู่จึงกล่าวต่อ “แต่คนชอบทำตัวเหมือนแมว ไม่ค่อยจะทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา มีค่าไม่ต่างอะไรจากแมว” อ้าว แล้วกัน เหมือนว่ากันเลยนะแมว

ผมมัวแต่นิ่งคิดตามถ้อยคำของแมวจนแมวขยับตัว โดดแผล็บขึ้นไปนอนบนเก้าอี้ตัวเดิม “ขอตัวนะ จะนอนอีกสักครู่ ยังไม่หายง่วงเลย” ผมเดินเข้าห้องทำงานขณะความคิดทำงานอย่างหนัก เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบาย อาการไข้กำเริบ หนาวๆ ร้อนๆ สลับกัน ตอนนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน สายตาของผมค่อยๆ มืดมิดลงช้าๆ มองได้ใกล้เข้ามาๆ จนผล็อยหลับไปเพราะพิษไข้


1 ความคิดเห็น:

  1. เป็นเรื่องของแนวคิดและจินตนาการ
    ต้องขออภัยแมวน้อยด้วย ที่จำเป็นต้องนำเรื่อง
    มาเขียนให้คนได้อ่านกัน

    ตอบลบ